xs
xsm
sm
md
lg

กกต.จับสลากดีเบต ชี้ “บิ๊กตู่” ร่วมได้ ขู่คนรู้ตัวไม่มีสิทธิสมัคร ส.ส.แต่ฝืนลงเจอโทษ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


รองเลขาฯ กกต.จับสลากเลือกคำถามเวทีดีเบตนโยบายบริหารประเทศ ยัน “ประยุทธ์” ร่วมได้ฐานะแคนดิเดต พปชร. รับยังไม่เห็นคำร้องยุบ 12 พรรค เผยผู้สมัครที่ศาลไม่คืนสิทธิดื้อลงเลือกตั้งอาจถูกดำเนินคดีมีโทษทั้งจำปรับ เพิกถอนสิทธิ 10 ปี

วันนี้ (22 ก.พ.) นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต. เป็นประธานการประชุมพรรคการเมือง เพื่อจับสลากเลือกคำถาม ในการประชันนโยบายที่ กกต.จะจัดขึ้นให้กับ 54 พรรคการเมือง ที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และแจ้งความประสงค์ที่จะร่วมเวทีประชันนโยบายของกกต. โดยการจับคู่พิจารณาจากจำนวนการส่งผู้สมัครของพรรคการเมือง ซึ่งหัวข้อการประชันแบ่งเป็น 6 ด้าน คือ ด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา การเกษตร และ สาธารณสุข ซึ่งพรรคการเมือง จะพบกันในลักษณะ 2 พรรค และ 3 พรรค จะเริ่มบันทึกเทปตั้งแต่วันที่ 26 ก.พ. - 4 มี.ค. และจะนำไปเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ 21 สถานี สถานีวิทยุ 7 สถานี และช่องยูทูป ตั้งแต่วันที่ 15-21 มี.ค. โดยพรรคการเมืองสามารถส่งผู้แทนของพรรค หัวหน้าพรรค หรือผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อป็นแคนดิเดตนายกของพรรคเข้าร่วมดีเบตได้

ทั้งนี้ ผลการจับคู่ประชัน 6 นโยบายบริหารประเทศ 1. นโยบายด้านศึกษา คู่ที่ 1 พรรคพลังท้องถิ่นไท-พรรคประชานิยม คู่ที่ 2 พรรคแผ่นดินธรรม-กรีน คู่ที่ 3 พรรคมติประชา-พรรคคลองไทย คู่ที่ 4 พรรคภาคีเครือข่ายไทย-พรรครวมใจไทย

2. ด้านการเกษตร คู่ที่ 1 พรรคอนาคตใหม่-พรรคประชาชนปฏิรูป คู่ที่ 2 พรรคประชาชาชาติ-พรรคไทรักธรรม คู่ที่ 3 พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล-พรรคกลาง คู่ที่ 4 พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย-พรรคสังคมประชาธิปไตยไทย

3. ด้านสังคม คู่ที่ 1รักษ์ผืนป่าประเทศไทย-พรรคเพื่อชาติ คู่ที่ 2 พรรคพลังประชารัฐ-พรรคประชาภิวัฒน์ คู่ที่ 3 พรรคภราดรภาพ-พรรคไทยธรรม คู่ที่ 4พรรคทางเลือกใหม่-พรรคประชากรไทย คู่ที่ 5 พรรคพลังรัก-พรรคพลังแรงงานไทย คู่ที่ 6 พรรคผึ้งหลวง-พรรคชาติพันธุ์ไทย คู่ที่ 7 พรรคประชาไทย-พรรคพลังไทยดี

4. ด้านเศรษฐกิจ คู่ที่ 1 พรรคภูมิใจไทย-พรรคเสรีรวมไทย-พรรคประชาธิปัตย์ คู่ที่ 2 พรรคเศรษฐกิจใหม่-พรรคพลังชาติไทย คู่ที่ 3 พรรคเพื่อไทย-พรรคไทยศรีวิไลย์ คู่ที่ 4 พรรคพลังธรรมใหม่-พรรคความหวังใหม่ คู่ที่ 5 พรรคคนงานไทย-พรรคไทยรักชาติ-พรรคเพื่อแผ่นดิน

5. ด้านความมั่นคง คู่ที่ 1 พรรคครูไทยเพื่อประชาชน-พรรคชาติไทยพัฒนา คู่ที่ 2 พรรคประชาธรรมไทย-พรรคประชาธิปไตยใหม่ คู่ที่ 3 พรรคพลังปวงชนไทย-พรรคชาติพัฒนา คู่ที่ 4 พรรคพลังไทยรักชาติ-พรรคฐานรากไทย คู่ที่ 5 พรรคคนธรรมดาแห่งประเทศไทย-พรรคพัฒนาประเทศไทย คู่ที่ 6 พรรคพลังครูไทย-พรรคพลังสังคม 6. ด้านสาธารณสุข ไม่มีพรรคไหนจับได้

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐจะสามารถมาร่วมดีเบตในเวทีนี้ได้หรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า กฎหมายไม่ได้ห้าม

นายแสวงยังกล่าวถึงการตรวจสอบกรณีพรรคพลังประชารัฐถูกร้องเรื่องการจัดระดมทุนโต๊ะจีนว่า เรื่องการระดมทุน และการบริจาค กกต.มีมาตรฐานการตรวจสอบเดียวกันใช้กับทุกพรรคต้องอาศัยเวลาตรวจสอบถึงที่มาของเงิน ใครบริจาคบ้างมีคนต่างชาติร่วมบริจาคด้วยหรือไม่ ส่วนที่ร้องว่า พล.อ.ประยุทธ์ขาดคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกเพราะเป็นหัวหน้าคสช.เข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ทราบว่าเป็นเรื่องที่มีผู้ร้องอยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักงาน ขณะที่กรณีพรรคอนาคตใหม่ลงประวัตินายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เกินความเป็นจริงนั้นยังไม่ตรวจสอบว่ามีผู้ร้องมาแล้วหรือไม่ แต่ถ้าเป็นกรณีความปรากฏหรือมีเหตุสงสัย กกต.สามารถตรวจสอบเองได้ แต่ในชั้นนี้ขอยังไม่ให้ความเห็นว่าเป็นความผิดหรือยัง

นอกจากนี้ กกต.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการหาเสียงทางอิเล็กทรอนิกส์ และได้มีการแจ้งลบข้อความ และโพสต์ ที่ผิดกฎหมายและมีลักษณะต้องห้ามโดยออกคำสั่งไปแล้วหลายฉบับ เพื่อปกป้องผู้สมัครและพรรคการเมืองที่สุจริตซึ่งมีจำนวนมาก แต่ที่ยากคือการโยงไปถึงผู้กระทำผิด และการลบข้อความในทันทีเพราะต้องประสานไปยังหน่วยงานของรัฐและเจ้าของเว็บไซต์ซึ่งบางรายอยู่ในต่างประเทศ

นายแสวงยังกล่าวถึงกรณีที่พรรครวมใจไทยยื่นขอให้ กกต.พิจารณาเสนอศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ 12 พรรคการเมืองที่มีการแก้ไขฐานข้อมูลสมาชิกพรรคเพื่อให้ผู้สมัครมีคุณสมบัติในการลงสมัครว่า ยังไม่เห็นเรื่อง และยังไม่ขอพูดเรื่องนี้ เมื่อถามต่อถึงกรณีหากศาลฎีกามีคำพิพากษายืนตาม กกต.ที่ไม่ประกาศรายชื่อผู้สมัครเนื่องจากขาดคุณสมบัติ ผู้สมัครรายนั้นจะมีความผิดหรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า มีความผิดตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 151 ขึ้นอยู่กับฝ่ายกฎหมายที่จะต้องเป็นผู้พิจารณาหลังศาลฎีกามีคำพิพากษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มาตรา 151 พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.กำหนดว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.ได้สมัครรับเลือกตั้ง หรือทำหนังสือยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อเพื่อสมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่น-2 แสน และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 10 ปี






กำลังโหลดความคิดเห็น