โฆษกกลาโหมยันงบกองทัพผ่านกระบวนการจัดสรรไม่ต่างจากกระทรวงอื่น อยู่ในระดับร้อยละ 7 กว่าๆ ของงบประเทศมาตั้งแต่สมัยยิ่งลักษณ์ ย้ำพัฒนากองทัพเพื่อป้องกันประเทศได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ทำมากเกินไป อย่ามองว่าเอาเงินประชาชนมาใช้ เพราะทหารก็เสียภาษี ยันงบกลาโหมยุคประยุทธ์ตรวจสอบได้ โปร่งใสกว่าเดิม ตาม พ.ร.บ.งบประมาณฉบับใหม่ ท้า “จาตุรนต์-เสรีพิศุทธ์” มีข้อมูลอะไรเสนอมา อย่าพูดลอยๆ
วันนี้ (20 ก.พ.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่กระทรวงกลาโหม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้แถลงข่าวกรณีนักการเมืองจากหลายพรรคเสนอนโยบายลดงบประมาณกองทัพ ว่า กระทรวงกลาโหมเป็นหน่วยงานความมั่นคงที่มีบทบาทหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ทั้งในด้านการป้องกันประเทศ และการรักษาความมั่นคงภายใน การพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ พิทักษ์รักษาอธิปไตยของชาติ พัฒนาประเทศ และช่วยเหลือประชาชน ขนาดของกองทัพเป็นไปตามสภาพของภัยคุกคาม และสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ ตามแต่รัฐบาลและสังคม เป็นผู้กำหนด กระบวนการจัดสรรงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ไม่แตกต่างจากกระทรวงอื่นที่ต้องให้ความเห็นชอบและเข้าสู่สภา ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน หรือซ่อนเร้น โดยกระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณเป็นอันดับ 4 รองจากกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ในอดีตงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศมีวงเงินประมาณ 1 ล้านล้านบาท ถึงปัจจุบันเพิ่มเป็นจำนวน 3 ล้านล้านบาท ซึ่งการจัดทำงบประมาณในส่วนของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่ปี 2536-2541 อยู่ที่ 12.7% ของงบประมาณทั้งประเทศ แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจก็ถูกลดจนเหลือเพียง 6.5 ถึง 6.3%
อย่างไรก็ตาม หลังปี 2549 สัดส่วนงบประมาณกระทรวงกลาโหมเพิ่มเป็น 7.38% จนถึงปัจจุบันนี้ยังอยู่ที่ 227,126 ล้านบาท หรือคิดเป็น 7.57% ของงบประมาณประเทศ โดยปี 2549-2562 ก็อยู่ที่ประมาณ 7.59% ไม่ต่างจากยุคของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่การเติบโตยังคงอยู่ที่เกณฑ์ 7% ซึ่งเป็นปกติไม่มีนัยพิเศษใดๆ
ช่วงเกิดวิกฤต งบประมาณกระทรวงกลาโหมถูกปรับลดลงเหลือเพียง 6% จนทำให้ไม่มีงบประมาณในการฝึก งบประมาณซื้อน้ำมัน ต้องใช้กระสุนสำรองในอัตราสงครามมาใช้ฝึก หรือแม้แต่การบำรุงยุทโธปกรณ์ก็ไม่มี ทำให้ยุทโธปกรณ์เสียหาย โดยเฉพาะนักบินที่เกิดวิกฤตสมองไหล เพราะไม่มีชั่วโมงบิน ซึ่ง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีต รมว.กลาโหม (ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ทราบเรื่องนี้ดี และเมื่อผ่านวิกฤตไปแล้วเป็นช่วงฟื้นฟูในปี 2549-2551 ทำให้งบประมาณถูกปรับขึ้นมาเป็น 7.9%
พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า เมื่อเปรียบเทียบงบประมาณของกระทรวงกลาโหม กับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือจีดีพี ตามแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพที่ตั้งไว้ของประเทศไทย อยู่ในอันดับ 6 หรือ 7 ของประเทศในอาเซียน โดยอันดับ 1 คือ ประเทศสิงคโปร์ รองลงมา คือ บรูไน, เวียดนาม, มาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งการพิจารณาแผนพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพ จะเป็นการรับรองภัยคุกคามตามห้วงระยะเวลา ต้องมียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยสมัย ป้องกันการสูญเสียอธิปไตย แต่ไม่ได้ทำมากเกินไป การจัดหายุทโธปกรณ์เป็นการจัดหาที่เป็นไปได้ และดำรงสภาพในการป้องกันประเทศได้ตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งต้องสร้างความพร้อมรบให้เพียงพอต่อการปฏิบัติได้ทันที เมื่อเกิดภัยคุกคาม ภายใต้ภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศไทย
ทั้งนี้ งบประมาณกระทรวงกลาโหม 49% เป็นงบประมาณรายจ่ายที่ให้กับบุคลากร อาทิ เงินเดือน สิทธิกำลังพล ด้านสวัสดิการของกำลังพล ซึ่งเป็นงบประจำอยู่แล้ว ส่วนอีก 20% เป็นงบประมาณด้านการเตรียมกำลัง การพัฒนายุทโธปกรณ์ การจัดตั้งหน่วยใหม่ ซึ่งเป็นงบในการจัดหายุทโธปกรณ์ 14.75% ซึ่งการจัดซื้อเป็นเรื่องของกองทัพในการผูกพันงบประมาณแต่ละปี เช่น โครงการเรือดำน้ำ ที่เป็นไปตามแผนพัฒนากองทัพ รวมไปถึงการจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อทดแทนของเก่าที่กำลังปลดประจำการ เช่น รถถังเอ็ม 41 ที่ใช้มานานตั้งแต่ยุคสงครามโลก หรือเฮลิคอปเตอร์ที่สหรัฐฯให้ไทยมา 52 ลำ ตอนนี้ใช้ได้แค่ 3 ลำ มีการซ่อมบำรุง แต่ก็มีสภาพเก่ามาก ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ จึงมีความจำเป็นที่จัดหาใหม่
“ยืนยันว่า งบของประเทศ คือ ภาษีของประชาชน และทหารทุกคนก็เสียภาษีเช่นกัน อย่างผมก็ต้องเสียภาษีใน 1 ปี วงเงินที่ผมต้องเสียภาษี อยู่ในจำนวนประมาณ 2 เดือนของเงินเดือน จึงไม่อยากให้มองว่าทหารนำภาษีของประชาชนมาใช้ งบประมาณในสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในกระบวนการที่สามารถตรวจสอบได้โปร่งใสมากขึ้นด้วยซ้ำ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณที่ออกมาใหม่ การจะใช้งบประมาณในโครงการใดเกินกว่า 1 พันล้านบาทต้องนำเข้า ครม. จัดหายุทโธปกรณ์ก็เป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล” พล.ท.คงชีพ กล่าว
กรณีพรรคการเมืองมีนโยบายตัดงบกระทรวงกลาโหมลง 10% พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า มิติความมั่นคงไม่ใช่เรื่องการป้องกันประเทศเพียงอย่างเดียว เพราะส่งผลกระทบต่อประชาชนด้วย เนื่องจากกองทัพต้องมีงบประมาณในส่วนของช่วยเหลือบรรเทาภัยพิบัติ และทุกภัยที่ไม่ได้เกิดจากสงคราม ปัจจุบันก็มีมากมาย แต่เราพร้อมรับฟังทุกข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็นของประชาชนทุกคน หากข้อเสนอเป็นประโยชน์เราก็พร้อมรับฟัง และอยากพูดคุยเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ไม่อยากให้มีการพูดกับแบบลอยๆ หากนายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ หรือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย มีข้อมูลเสนอมา ตนก็พร้อมรับฟัง
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมพรรคการเมืองหลายพรรคจึงชูนโยบายตัดงบประมาณของกระทรวงกลาโหม โดยไม่มีการพาดพิงกระทรวงอื่นนั้น พล.ท.คงชีพ กล่าวว่า การที่ทหารเข้ามาเพราะประชาชนต้องการ ทุกอย่างมีที่มาที่ไป จึงอยากให้ไปถามเรื่องนี้กับนักการเมืองมากกว่า ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยถือว่าเป็นเรื่องดี แต่ปัญหาที่ผ่านมาของบ้านเราอยู่ที่คนมากกว่า ดังนั้น คนต้องเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้ดีขึ้น ยืนยันว่ารัฐบาลพิจารณาทุกงบประมาณอย่างโปร่งใส และไม่มีมุบมิบ