เมืองไทย 360 องศา
ต้องบอกว่า ข่าวลือ ข่าวลวง แล้วก็กลายเป็นข่าวจริง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก และประดังเข้ามาในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงตอนกลางวันต่อเนื่องไปจนกลางคืน ล่วงไปจนถึงเช้าวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ต้องบอกว่า “ข่าวลือ ข่าวปลอม” มากจริงๆ และมีการปล่อยไปในโซเชียลฯอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการ “ปลอมราชกิจจานุเบกษา” ประกาศคำสั่งปลดผู้บัญชาการเหล่าทัพ รวมไปถึงการสร้างข่าวเท็จเรื่องการก่อรัฐประหารซ้ำ
แน่นอนว่า “ข่าวเท็จ” ดังกล่าวได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับคนไทย รวมไปถึงนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมาก แต่ยังโชคดีที่ในวันรุ่งขึ้น ฝ่ายรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ชี้แจงและปฏิเสธข่าวดัวกล่าวพร้อมกับสั่งให้มีการแจ้งความดำเนินคดี เพื่อให้มีการสืบหาต้นตออย่างใกล้ชิด และทุกหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบและเสียหายแจ้งความดำเนินคดีในลักษณะเดียวกันแล้ว
จากการแถลงของ พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติในวันเดียวกัน ระบุว่า
“เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมที่ถูกจัดทำขึ้นทั้งฉบับ เป็นการสร้างเรื่องเท็จ มุ่งประสงค์ให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด อาจหวังให้สังคมเกิดความวุ่นวาย ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบที่มาของการเผยแพร่ เพื่อใช้มาตรการทางกฎหมายดำเนินการ จึงขอความร่วมมือสื่อมวลชนและประชาชนหลีกเลี่ยงการส่งต่อเรื่องอันเป็นเท็จดังกล่าว เพราะอาจเข้าข่ายความผิดในทางกฎหมายได้”
“ในปัจจุบันอาจมีกลุ่มไม่หวังดีกำลังมีความพยายามสร้างความวุ่นวายทางข้อมูลข่าวสาร ในลักษณะสร้างเรื่องเท็จ บิดเบือนให้สังคมเข้าใจผิดทั้งในตัวบุคคลหรือองค์กรก็ตาม ไปนำเสนอเผยแพร่ผ่านทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจมีข้อสังเกตได้ว่าอาจจะเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นกระบวนการ หวังให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมีนัยโดยเฉพาะกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศในห้วงเวลาสำคัญนี้ด้วย”
คำแถลงดังกล่าวของโฆษกฯ คสช.มันทำให้น่าคิดและตั้งเป็นคำถามว่ามาจนถึงนาทีนี้แล้ว “ใครกันแน่ที่ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง” หรือใครกันแน่ที่ “มีเจตนาสร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมืองทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง”
โดยเฉพาะแผนร้ายที่ถูกเปิดโปงออกมาเมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทำให้ชาวบ้านมองออกว่า “ใครอยู่เบื้องหลังในพรรคไทยรักษาชาติ”
แม้โฆษกฯ คสช. จะไม่ระบุว่านี่คือแผนร้ายที่มีเจตนาเพื่อสร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมืองในช่วงเหตุการณ์สำคัญ มันก็ทำให้มองออกว่ากำลังมีคนพยายามให้ดำเนินไปทางนั้น โดยเฉพาะการปล่อยข่าวในโลกโซเชียลในช่วงค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในทำนองว่าจะเกิด “การรัฐประหารซ้อน” กันขึ้นมา ซึ่งในท่ามกลางความสับสนมึนงงแบบนี้ เชื่อว่า หลายคนคงคาดเดายากว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในพรรคไทยรักษาชาติมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว
แต่ขณะเดียวกัน การปล่อยข่าวเรื่องการรัฐประหารซ้อนขึ้นมามันก็เกิดขึ้นตามมาหลังเหตุการณ์เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ชาวบ้านมองเห็นถึงความ “มิบังควร” เกิดขึ้น และที่สำคัญ กระแสก็เริ่มพลิกไปทาง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในนามพรรคพลังประชารัฐมากขึ้น ขณะที่อีกฟากหนึ่งที่ยึดเอาประชาธิปไตยไปเป็นของตัวเองเริ่มอยู่ในภาวะระส่ำระสายไม่เป็นขบวน
สำหรับพรรคไทยรักษาชาติ นาทีนี้ยอมรับกันแล้วว่า มี “ความเสี่ยงสูงที่จะถูกยุบพรรค” และบรรดากรรมการบริหารพรรคก็เหมือนกับรู้ชะตากรรม การเรียกประชุมผู้บริหารเป็นด่วนเมื่อเย็นวานนี้ (11 กุมภาพันธ์) ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ อ้างว่า องค์ประชุมไม่ครบ และ ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคก็ไม่ปรากฏตัวตลอดทั้งวันจนต้องแจ้งเลื่อนประชุมออกไปไม่มีกำหนด
ดังนั้น หากพิจารณาจากสถานการณ์การเลือกตั้งในเวลานี้ ทำให้ต้องมาประเมินกันใหม่แล้วว่า “ใครกันแน่” ที่ไม่อยากให้มีการเลือกตั้ง ฝ่ายที่ยึดครองประชาธิปไตยเป็นของตัวเองหรือฝ่ายไหนกันแน่ หรือว่าฝ่ายไหนที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนเพื่อล้มการเลือกตั้งและหาประโยชน์จากสถานการณ์หลังจากนั้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากข่าวปลอมที่มีเจตนาสร้างสถานการณ์รัฐประหารซ้อนเมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา !!