เบรก “บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี” ขอรับเงินสนับสนุนจาก อปท. ฝ่ายกฎหมาย มท.ยกระเบียบฯ ชี้หน่วยงาน-องค์กรไหนที่เข้าข่ายรับเงินอุดหนุน ตามระเบียบปี 59 ได้ ชี้บริษัท ประชารัฐฯ ไม่ใช่หน่วยงานที่จะขอรับเงิน เหตุไม่เป็นบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเอง รวมถึงไม่ใช่องค์กรประชาชน ยกเคสงดหนุนบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีสุรินทร์ ขอค่าออกแบบ-ค่าบรรจุภัณฑ์ข้าวหอมมะลิอินทรีย์ กว่า 3 ล้านบาท
วันนี้ (6 ก.พ.) รายงานข่าวจากกระทรวงมหาดไทยเปิดเผยว่า กรณีบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด หลายแห่งได้ทำหนังสือเพื่อขออนุมัติสนับสนุนงบประมาณจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อดำเนินกิจกรรมในจังหวัดที่มีบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด ตั้งอยู่ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ฝ่ายกฎหมายกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาหลังจากได้รับการหารือว่า บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด ไม่ใช่หน่วยงานที่จะขอรับเงินอุดหนุน ตามข้อ 3 (4) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2559 จึงไม่สามารถขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก อปท.ได้ เนื่องจากไม่ใช่การบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นของตนเอง
ทั้งนี้ หน่วยงานที่ขอรับเงินอุดหนุนจาก อปท.ได้จะต้องเป็นหน่วยงานที่กำหนดไว้ตามบทนิยามคำว่า “หน่วยงานที่ขอรับเงินอุดหนุน” ตามข้อ 3 ของระเบียบดังกล่าว ซึ่งกำหนดว่าต้องเป็น อปท.ซึ่งมีกฎหมายจัดตั้ง และเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นรัฐวิสาหกิจประเภทการไฟฟ้า การประปา รวมถึงองค์กรประชาชนที่จัดตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายระเบียบหรือข้อบังคับของหน่วยงานของรัฐ หรือหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทยและมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
“จากตัวอย่างข้อหารือกรณีสถานะของบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีสุรินทร์ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ที่ขอรับการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สุรินทร์ เพื่อดำเนินโครงการยกระดับข้าวหอมมะลิอินทรีย์สุรินทร์ โดยขอให้จ่ายเป็นค่าออกแบบและค่าบรรจุภัณฑ์ข้าวหอมมะลิอินทรีย์สุรินทร์ จำนวน 3,716,400 บาท จึงไม่สามารถขอรับการสนับสนุนงบประมาณจาก อปท.ได้ แม้บริษัทฯ อ้างว่าจะทำหน้าที่ประสานงานกับห้างสรรพสินค้า เพื่อนำข้าวหอมมะลิอินทรีย์สุรินทร์ที่เข้าร่วมโครงการไปวางจำหน่าย เป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดการจัดจำหน่ายและเชื่อมโยงการตลาดในระดับประเทศ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน”
ทั้งนี้ แม้บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ที่เกิดขึ้นตามนโยบายรัฐบาลด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้หลายภาคส่วนเข้ามาร่วมลงทุนประกอบการค้าเพื่อส่งเสริมสินค้าชุมชน สร้างศักยภาพการแข่งขัน และสร้างรายได้ให้กับชุมชน โดยรัฐบาลได้กำหนดให้ดำเนินการในรูปแบบของบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และประกอบด้วยบุคคล จาก 4 ภาคส่วน คือ ภาครัฐ ภาคเอกซน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคประชาชน ที่ไม่เฉพาะแต่กลุ่มประชาชนเท่านั้น กรณีนี้บริษัทฯ จึงไม่ใช่องค์กรประชาชน ตามข้อ 3 (4) และไม่เข้าลักษณะของหน่วยงานอื่นๆ ตามบทนิยามคำว่า “หน่วยงานที่ขอรับเงินอุดหนุน” ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2559
สำหรับ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จำกัด จัดตั้งขึ้นในรัฐบาล คสช. พื้นที่ 77 จังหวัด โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อนำเงินทุนและกำไรของบริษัทที่ได้จากการประกอบกิจการไปใช้ในการประกอบกิจการขายสินค้าและการให้บริการฯ ถือเป็นการดำเนินกิจการที่มีลักษณะเป็นเงินทุนหมุนเวียน
โดยมีการจดทะเบียนจัดตั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชนใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ การเกษตร การแปรรูป และการท่องเที่ยว ในเรื่องการบริหารจัดการองค์ความรู้ ส่งเสริมการพัฒนาสินค้าและรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ การสร้างตราสินค้าและมาตรฐาน การรับรองสินค้า การขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา การช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าชุมซน สร้างความ ต้องการและหาช่องทางการตลาดการจัดจำหน่ายและเชื่อมโยงการตลาดในระดับประเทศ ตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจชุมซนผ่านกลไกประซารัฐตามนโยบายของรัฐบาล
“มีงบประมาณที่เป็นหุ้นที่ระดมทุนจากภาคเอกชน และคนในจังหวัด สามารถระดมทุนได้เฉลี่ยจังหวัดละ 4 ล้านบาท บริษัทฯ สามารถกำหนดแนวทางการบริหารงาน การบริหารค่าใช้จ่าย ดำเนินงานได้เองโดยอิสระ ซึ่งแนวทางการบริหารทุกอย่างต้องเป็นไปตามข้อตกลงและมติจากที่ประชุมของผู้ถือหุ้น”
บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี จังหวัด จำกัด เคยถูกครหาว่ามีกลุ่มทุนใหญ่ใกล้ชิดรัฐบาลเข้ามาบริหารงาน รวมถึงมีกระแสข่าวอ้างว่า บางแห่งเตรียมยุติบทบาทเนื่องจากขาดทุน โดยประเด็นนี้กรมการพัฒนาชุมชน (พช.) ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง