xs
xsm
sm
md
lg

**เบื้องหลัง "4 กุมาร"ลาตำแหน่งรัฐมนตรี สปอตไลต์ ส่อง "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" นินจาตัวจริง ค้ำทั้งรัฐบาล และ พลังประชารัฐ **ในยุค"ปราบโกงเป็นวาระแห่งชาติ" ดัชนีโปร่งใสไทย ปี 2561 แย่ลงได้ 36 คะแนนจาก 100 ตกไปอยู่อันดับ 99 จาก 180 ประเทศ

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว



**เบื้องหลัง "4 กุมาร"ลาตำแหน่งรัฐมนตรี สปอตไลต์ ส่อง "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" นินจาตัวจริง ค้ำทั้งรัฐบาล และ พลังประชารัฐ

หมากกลเกมนี้ต้องบอกว่า ทำให้ภาพพลังประชารัฐ ที่คลุมเครือไม่ชัดเจนอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนหน้านี้ชัดเจนมากขึ้น ชัดจนไม่รู้จะชัดมากกว่านี้แล้ว เพราะการขับเคลื่อนพรรคที่ว่ากันว่า เป็นพรรคตัวเต็งคู่แข่งพรรคเครือข่ายทักษิณนั้น มีหัวใจใส่เกียร์ 5 เต็มที่ ลุยสู้ศึกในโค้งสุดท้าย " 4 รัฐมนตรี" ที่ลาออก และมีผลวันนี้ (30 ม.ค.) ประกอบไปด้วย อุตตม สาวนายน - สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ - สุวิทย์ เมษินทรีย์ และ กอบศักดิ์ ภู่ตระกูล ที่ผ่านๆ มามีแรงกดดันมหาศาล โดนแซะ โดนสาดจากฝ่ายตรงข้ามเนืองๆ ในฐานะ รัฐมนตรี ควบอีกสถานะหนึ่งก็ คือ แกนนำพรรคประชารัฐ จึงทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก ... จากนี้ไปนับว่าจะมีเวลาเต็มที่ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ได้เดินหน้าทำงานการเมืองเต็มสูบ ขณะที่งานที่เคยรับผิดชอบของ ทั้ง 4 คนนั้น "นายกฯลุงตู่" พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา ยืนยันจะไม่ปรับครม. โดยให้ รมช.แต่ละกระทรวงดูแล และ ที่สำคัญ มีรองนายกฯ "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ซึ่งดูเรื่องเศรษฐกิจ จะลงไปติดตาม และกำกับดูแลอยู่แล้ว
4 รัฐมนตรี ที่ลาออกจากตำแหน่ง
กล่าวได้ว่า ภาระหน้าที่ ที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจทำไว้ มี"สมคิด" ก็อุ่นใจ เพราะ "ลุงตู่" ให้ความไว้วางใจ"สมคิด" งานบริหารราชการของรัฐบาล ยังขับเคลื่อนต่อไปได้ไม่มีสะดุด มอบให้เป็น "เดอะแบ็ก" ของรัฐบาลสำหรับงานเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งว่าไปแล้ว ความเป็น"เดอะแบ็ก" ของสมคิดก็ต้องย้อนกลับไปช่วงแรกของ คสช. ที่ตั้ง "หม่อมอุ๋ย" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เข้ามาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่ไปไม่รอด จนได้ สมคิด เข้ามาแทน นับตั้งแต่นั้น งานเศรษฐกิจก็จับต้องได้ ...เมกะโปรเจกต์ อย่างเช่น ขนส่งระบบราง รถไฟฟ้า ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก หรือ EEC ได้สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนต่างชาติ เป็นผลงานรัฐบาลที่กล่าวอ้างได้เต็มๆ ... ผลงานทีมเศรษฐกิจหลายๆ กระทรวง ทั้งกระทรวงพาณิชย์ อุตสาหกรรม หรือ เบื้องหลังการขับเคลื่อนของ รัฐมนตรีเหล่านั้น ซึ่งต่างก็ทราบกันดี ว่า มีสายสัมพันธ์เป็น "อาจารย์-ลูกศิษย์"กัน ล้วนต้องให้เครดิต "เฮียกวง"...

เมื่อเข้าสู่โหมดการเมืองที่จะต้องมีการเลือกตั้ง พลันที่พรรคพลังประชารัฐปรากฏตัวก่อร่างสร้างขึ้น โดยมีชื่อของ "4รัฐมนตรี" เป็นแกนนำ จึงไม่ประหลาดใจ ที่สปอตไลต์ จะส่องไปที่ "รองฯสมคิด" เนื่องเพราะเชื่อว่า สมคิด จะทำให้พรรคพลังประชารัฐก้าวขึ่นไปเป็นพรรคคู่แข่งอย่างเพื่อไทยที่ยังแข็งแกร่งได้อย่างทัดเทียม หนึ่งนั้น สมคิด รู้เช่นเห็นชาติ "ทักษิณ ชินวัตร" ทุกๆขุมขน เพราะ"นโยบายประชานิยม" ที่ทำให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง และยังครองใจคนรากหญ้า เบื้องหลังมาจากมันสมอง สมคิด นั่นเอง ... สองนั้น เกมการเมืองที่พรรคเครือข่ายทักษิณที่จะลงสนามสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ หลายๆ คนก็เป็นคนคุ้นเคยของสมคิด การรับมือ และการเดินเกมอย่างรู้ทันของพลังประชารัฐ ย่อมต้องมีสมคิด เป็นที่ปรึกษา
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
ประการสำคัญ การที่"ลุงตู่" จะกลับมานั่งเป็นนายกฯ คำรบสอง หลายๆ คนย่อมนึกถึงชายชื่อสมคิด และพลังประชารัฐ เท่านั้น ... เรียกว่า ทั้งงานเศรษฐกิจและการเมือง "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ได้วางโครงสร้าง ปูทางเอาไว้เรียบร้อย จึงไม่น่าประหลาดใจที่หลายๆ ครั้ง หากจะโจมตี ลุงตู่ และ พรรคประชารัฐ ให้หวั่นไหว จำเป็นต้องตี สมคิด ปล่อยข่าวให้ไขว้เขว บ้างก็ว่า สมคิด "ถอดใจ วางมือ" หรือเตรียมที่จะเกษียณตัวเอง ไปท่องเที่ยว...

สมคิด วันนึ้เมื่อได้รับมอบหมายงานจากนายกฯลุงตู่ ให้ดูแลแทน "4รัฐมนตรี" ขณะที่ สมคิด ให้สัมภาษณ์อย่างไร้กังวล แทบไม่ต้องถอดความเป็นอย่างอื่นเลยว่า รองฯสมคิด พร้อมประคอง เป็น"เดอะแบ็ก" ให้รัฐบาล คสช. ต่อไปแค่ไหน ตรงกันข้ามเป็นสัญญาณ ส่งไปถึงพรรคพลังประชารัฐ ที่ "4 รัฐมนตรี" ลาออกไปทำงานเต็มตัว ว่าเขาเองก็ยืนปักหลักให้ไม่ถอย เป็นสัญญาณ ว่า "ถ้าส่งลุงตู่ ยังไม่ถึงฝั่งฝัน ย่อมไม่วางมือ"... "เบื้องหลัง "4กุมาร" มีนินจา "คำพูดของ "สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์" เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ พูดเป็นปริศนา สร้างความฮือฮา เมื่อครั้งเปิดตัวสมาชิกพรรคช่วงปลายปีที่แล้ว มาวันนี้ ชัดเจน! ใครเป็นนินจาตัวจริง ...ขาเมาต์ รู้ไว้ ทราบแล้วเปลี่ยน

**ในยุค"ปราบโกงเป็นวาระแห่งชาติ" ดัชนีโปร่งใสไทย ปี 2561 แย่ลงได้ 36 คะแนนจาก 100 ตกไปอยู่อันดับ 99 จาก 180 ประเทศ เลขาป.ป.ช.รีบชี้แจง "ไม่ใช่โกงมโหฬาร" แต่เป็นเพราะ ปัญหาการเลือกตั้งไม่ชัดเจน - รัฐจำกัดสิทธิ เสรีภาพ เพื่อต้องการให้บ้านเมืองสงบ
วรวิทย์ สุขบุญ
องค์กรเพื่อความโปร่งใสสากล (Transparency International) ประกาศอันดับความโปร่งใส ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประจำปี 2561 ปรากฏว่า ไทย อยู่อันดับ 99 จาก 180 ประเทศทั่วโลก โดยมีคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) 36 คะแนน จาก 100 คะแนน ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับ ประเทศอัลบาเนีย บาห์เรน โคลัมเบีย ฟิลิปปินส์ และ แทนซาเนีย ซึ่งการจัดอันดับครั้งยี้ ลดลงจากปี 2560 ที่ไทยได้ 37 คะแนน อยู่อันดับ 96 ของโลก ... หากนำมาเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียน พบว่า อันดับ 1 สิงคโปร์ (อันดับ 3 ของโลก) อันดับ 2 บรูไน (อันดับ 31 ของโลก) อันดับ 3 มาเลเซีย (อันดับ 61 ของโลก) อันดับ 4 อินโดนีเซีย (อันดับ 89 ของโลก) อันดับ 5 ไทย ร่วมกับฟิลิปปินส์

ภาพความโปร่งใสของประเทศไทย ที่แย่ลงเช่นนี้ คนส่วนใหญ่จะนึกถึงเรื่อง"ทุจริต คอร์รัปชัน" เป็นอันดับแรก และ เห็นภาพการทุจริตกันมโหฬาร เพราะคะแนนที่ได้นั้นต่ำไปกว่าครึ่งมาก .. ทำให้ "วรวิทย์ สุขบุญ" เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องรีบออกมาอธิบายความในเรื่องนี้ทันที ...ว่าในปี 2561 นั้นประเทศที่ "สอบตก" หมายถึงได้คะแนนต่ำกว่า 50 คะแนน มีมากถึง 2 ใน 3 จาก 180 ประเทศ โดยคะแนนเฉลี่ยของทั่วโลก จะอยู่ที่ 43 คะแนน การที่ไทยได้ 36 คะแนน แม้จะสอบตก แต่ก็ไม่ห่างจากเกณฑ์เฉลี่ยมากนัก ขณะที่ประเทศที่ได้อันดับความโปร่งใสสูงสุด คือ เดนมาร์ก ได้ 88 คะแนน ... ส่วนการให้คะแนนนั้น เขาพิจารณา จาก 9 แหล่งข้อมูล ซึ่งของไทย เมื่อเทียบระหว่าง ปี 2560 กับ 2561 ใน 6 แหล่งข้อมูล ไทยได้คะแนนเท่าเดิม ส่วนที่คะแนนลดลง มีเพียง 3 แหล่งข้อมูล คือ 1. ด้านพัฒนาการจัดการสถาบันระหว่างประเทศ 2 . ด้านการให้คำปรึกษาความเสี่ยงทางการเมือง และเศรษฐกิจ และ 3. ด้านความหลากหลายของโครงการประชาธิปไตย ซึ่งพิจารณาจากการถ่วงดุลของ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และ ตุลาการ ตลอดจนการทุจริตของเจ้าหน้าที่ในฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และ ตุลาการ

ในมุมมองของ เลขาฯป.ป.ช. นั้นเห็นว่า คะแนนที่ลดลงนั้น น่าจะเป็นเพราะเมื่อปี 61 ที่ผ่านมา "สังคมโลก" มองว่าไทยในยุครัฐบาล คสช. ยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกตั้ง มีการจำกัดในเรื่องสิทธิ เสรีภาพ เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ทำให้การถ่วงดุลของ ฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และ กระบวนการยุติธรรมยังไม่ชัดเจน จึงเป็นตัวฉุดคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ลงมา ไม่ใช่มาจากภาพการทุจริตมโหฬาร เพราะในปีที่ผ่านมานั้น ป.ป.ช. ได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต มากขึ้น มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดมากขึ้น และมีผลงานที่เด่นชัด อย่างกรณี การทุจริตการค้าระหว่างประเทศ แบบรัฐต่อรัฐ "จากโครงการจำนำข้าว" และ การระบายข้าวแบบ"จีทูจี", นอกจากนี้ ยังมีการป้องกันการทุจริตโดยใช้หลักสูตร "ต้านทุจริตศึกษา" ที่จะเริ่มการเรียนการสอนในปีการศึกษาแรก ของปี 2562 ... สรุปคือ ดัชนีโปร่งใสไทย ปี 61 แย่ลงนั้น เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมา การเลือกตั้งไม่ชัดเจน รัฐจำกัดสิทธิ เสรีภาพ ประชาชน เพื่อให้ประเทศสงบ ...พร้อมตบท้ายว่า หากอยากได้คะแนนที่สูงกว่านี้ ทุกภาคส่วนในสังคม ต้องรวมพลังกันสร้างสังคมที่ไม่ทนกับการทุจริต ภาครัฐ ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ภาคเอกชน ต้องไม่ให้ความร่วมมือในการให้สินบนทุกรูปแบบ แล้วหันมาสร้าง "ค่านิยมสุจริต" เพื่อไปสู่เป้าหมาย "ประเทศไทยใสสะอาด ไทยทั้งชาติต้านทุจริต"


กำลังโหลดความคิดเห็น