xs
xsm
sm
md
lg

**"ฮุนเซน"พบ "สี จิ้นผิง" ถอดสลัก ตอกย้ำทำไม "ยิ่งลักษณ์" ต้องพ้นจากประธานบริษัท ที่ซัวเถา **เบื้องลึกความมั่นใจที่"หมอเสริฐ" กินดีหมีหัวใจเสือ สู้คดีปั่นหุ้น **"รสนา" ข้องใจ!! “รัฐบาลเล่นละครตบตา เรื่องปลดล็อกกัญชา

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว

**"ฮุนเซน"พบ "สี จิ้นผิง" ถอดสลัก ตอกย้ำทำไม "ยิ่งลักษณ์" ต้องพ้นจากประธานบริษัท ที่ซัวเถา และ ไม่ยอมรับออกพาสปอร์ตเขมรให้ คนใกล้ชิด ตระกูลชินปูด "ลี กาชิง" ยอมรับเองว่า ดีลนี้ เป็นธุรกรรมที่มีผลประโยชน์ทางการเมือง มากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ฮุน เซน - สี จิ้นผิง
ตอกย้ำว่า การที่บริษัทจีน ที่ซัวเถา ปลดน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งประธานบริษัท ทั้งที่เพิ่งประโคมโอ่ เป็นข่าวฮือฮาทั้งจีน ฮ่องกง และไทย ได้เดือนเดียว ซึ่งพัวพันไปถึงเหตุเริ่มต้นที่ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีหนีคดีของไทย ใช้หนังสือเดินทาง หรือ"พาสปอร์ตกัมพูชา" ในการทำธุรกรรมที่ฮ่องกง ก่อนจะเข้าซื้อหุ้นที่ซัวเถาได้อย่างไร มีเบื้องหลังมาจากการกดดันของทางการจีน และอาจจะเป็นกัมพูชา ร่วมด้วยช่วยกัน... การที่จีนแสดงท่าทีเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่ต้องการมีปัญหา หรือถูกตั้งคำถามกับไทย โดยทั้งสองประเทศมีความพันธ์ที่ดี ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว ขณะที่เขมร ถ้าให้เลือกระหว่าง ทักษิณ หรือ ยิ่งลักษณ์ นั้น "ฮุนเซน" ย่อมต้องเลือกความสัมพันธ์กับจีนไว้ก่อน เนื่องเพราะเวลานี้ นายกรัฐมนตรี ฮุนเซน ของกัมพูชา อยู่ระหว่างการเยือนจีนอย่างเป็นทางการเป็นเวลา 4 วัน เขาได้พบหารือกับ ประธานาธิบดี "สี จิ้นผิง" และ "หลี่ เค่อเฉียง" นายกรัฐมนตรีของจีน ย้ำถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่างสองประเทศ
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  - ลี กาชิง
จีนให้ความสำคัญกับกัมพูชาค่อนข้างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ช่วยเหลือทั้งด้านเศรษฐกิจ และการลงทุนหลายล้านดอลลาร์ ยกเลิกหนี้ให้ ฮุนเซน ก็ตอบแทนด้วยการให้ความช่วยเหลือทางการทูตแก่จีนในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเด็นการอ้างสิทธิอธิปไตยของจีนเหนือดินแดนเกือบทั้งหมดของทะเลจีนใต้ ... ระหว่างจีนกับกัมพูชา จึงถือเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ว่าได้ ... เมื่อมีข่าวการใช้แผ่นดินจีน โดยใช้ผลประโยชน์ทางธุรกิจ แต่หวังผลในการเคลือนไหวทางการเมือง ในช่วงที่ไทยกำลังเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง เป็นเรื่องอ่อนไหว ที่จีนไม่พึงประสงค์ให้พี่น้อง “ทักษิณ -ยิ่งลักษณ์”อ้างได้ ส่วนกัมพูชาเอง ก็ไม่ต้องการให้ขยายเรื่องการออกหนังสือเดินทางให้ ยิ่งลักษณ์ เป็นประเด็นสร้างความบาดหมางกันในภูมิภาคอาเซียน และทำให้จีนไม่สบายใจ ทั้งสองประเทศระวังเป็นอย่างยิ่ง ตัดไฟได้ก็ตัด ลดน้อยหนึ่งเรื่อง ดีกว่าสร้างเรื่อง

แต่คนใกล้ชิดตระกูลชินวัตร อย่าง "เฟซบุ๊ก กรุงเทพ กรุงเทพ" ก็โพสต์ล่าสุด เมื่อวาน (22ม.ค.) อ้างว่า ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ถูกปลด การเปลี่ยนแปลงที่สื่อฮ่องกงสืบมาได้นั้น เป็นเพียงการตั้งตัวแทนทางกฎหมายชาวจีน คือ เฉิน เหว่ยตง (???) รองเลขาธิการคณะกรรมการตรวจสอบวินัยมณฑลกวางตุ้ง เพิ่มเท่านั้น แถมยังระบุว่า คนที่ซื้อหุ้น เทอร์มินัล ซัวเถา ในเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว ไม่ได้มีแค่ ยิ่งลักษณ์เท่านั้น "ลี กาชิง" มหาเศรษฐีฮ่องกง ผู้ถือหุ้นใหญ่ ยังขายหุ้นให้ครอบครัว"ประธานาธิบดี บุช" อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯอีกด้วย ..."ลี กาชิง" ยอมรับเองว่า ดีลนี้ เป็นธุรกรรมที่มี "ผลประโยชน์ทางการเมือง" มากกว่าผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อย่างนี้จะให้จีนยอมได้อย่างไร

** เบื้องลึกความมั่นใจที่"หมอเสริฐ" กินดีหมีหัวใจเสือ สู้คดีปั่นหุ้น กับคติพจน์ชาวยุทธ์แสนล้าน ที่ว่า จ่าย(ค่าปรับ)ได้ แต่หยามไม่ได้
นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ
ว่ากันต่อกรณี “จอมยุทธย่อมมีบาดแผล”หลัง “หมอเสิรฐ”น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ พร้อมบุตรสาว ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)กล่าวโทษว่า ร่วมกัน "ปั่นหุ้น" บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA เจ้าของสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ส ... ก.ล.ต.ขีดเส้นให้ “หมอเสริฐ”ต้องชำระค่าปรับ จำนวน 499.45 ล้านบาท ภายใน 14 วัน นับจากวันที่มีหนังสือแจ้ง (18 ม.ค.) หรือจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์กันในชั้นศาล ... วานนี้ (22 ม.ค.) หมอเสริฐ และบุตรสาว แจ้งตลาดหลักทรัพย์แล้วว่า ได้ลาออกจากการเป็นกรรมการผู้บริหารของ BA และ บมจ. กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS)ส่งสัญญานเต็มที่ว่า "พร้อมที่จะเดินหน้าสู้คดี" ... น่าสนใจมากว่า หมอเสริฐ มหาเศรษฐีแสนล้าน พกเอาความมั่นใจมาจากไหน จะใช้กระบวนท่าไหน ในการเคลียร์ข้อกล่าวหา...

ว่าไปแล้วตอนที่ปปรากฏเป็นข่าว คนในตลาดหุ้นต่างตกตะลึงพรึงเพริด ไม่คิดว่าคนระดับมากด้วยวรยุทธ เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ชีวิตทางธุรกิจ เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ จะกระทำเรื่องแบบนี้ให้เสื่อมเสียเกียรติได้ง่ายๆ ... หากเป็นกระบวนท่านี้ ก็น่าจะมีคำอธิบาย “แพ้-ชนะ” ก็อีกเรื่อง สังคมย่อมมองออกเองว่า เจตนาของหมอเสริฐ คืออะไร ... ยิ่ง เมื่อวิเคราะห์จากผลประโยชน์ที่ได้รับ ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มจากวันที่เริ่มเข้าซื้อ (13 พ.ย.58) จากที่ราคา 20.50 บาท ไล่ไปจนถึง 24.88 บาท ในวันที่ 12 ม.ค.59 เพิ่มขึ้น 4.38 บาทนั้น ขณะที่ลงทุนไปทั้งหมด 2,000 ล้าน แลกกับกำไรส่วนต่างราคาไม่มาก ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนักกับเศรษฐีหุ้นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ... พูดง่ายๆ "ได้ไม่คุ้มเสีย" กำไรที่จะได้ถ้าเอาไปเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินของหมอเสริฐ และครอบครัว เป็นสัดส่วนเล็กน้อยมาก อาจจะไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ

ในสายตาเซียนหุ้นมองเทียบกรณีปั่นหุ่นที่ผ่านๆ มา กรณีนี้ดูแตกต่างออกไป ง่ายเกินไป โจ่งแจ้งเกินไป ต่างกับกรณี AJ หุ้น "พระเอกตัวจริง" ที่ถูกปรับมากถึง 1,700 ล้าน เพราะเจตนาปั่นตั้งแต่ราคาไม่กี่บาทไปจนถึงหลัก 20 กว่าบาท ... อย่างที่สอง โดยพฤติกรรม และบุคลิกส่วนตัวของหมอเสริฐ เป็นคนที่มีความมั่นใจตัวเองสูง ที่ผ่านมาระมัดระวังตัวเองอย่างมาก ในการให้ความเห็นเรื่องธุรกิจที่จะไปกระทบต่อราคาหุ้น พร้อมกำชับลูกๆ ที่เป็นผู้บริหารให้ระวังเรื่องนี้ เพราะทราบดี จะเกิดการ "ได้-เสีย" ในการลงทุนหุ้นได้ เราจึงไม่ค่อยได้เห็นธุรกิจในเครือหมอเสริฐ ให้ข่าวเกี่ยวกับแนวโน้มธุรกิจ

แผนธุรกิจเลย และหากย้อนไปดูกราฟราคา”หุ้นบางกอกแอร์เวยส์” แม้ช่วงที่ถูกระบุว่าราคาถูกปั่นขึ้นไป แต่ภาพรวมราคาหุ้น ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวต่างไปจากพื้นฐานที่เป็นมากนัก ... ต่างๆ เหล่านี้ ย่อมพิสูจน์กันได้ ตามวิถีแห่งการลงทุนในตลาดหุ้น

แว่วว่า หลักฐานที่หมอเสริฐ เตรียมงัดออกมาเคลียร์ก็คือ "เงื่อนไขแบงก์" สำหรับการขอกู้เงิน ที่คาดว่าเป็นเงื่อนไขที่เกี่ยวกับ "หุ้น" อันเป็นหลักทรัพย์ที่จะใช้ค้ำประกัน ... จากนั้นการซื้อเพื่อให้เข้าเงื่อนไขของแบงก์ เพื่อแบงก์จะได้ปล่อยกู้ หรือรักษามูลค่าของหลักทรัพย์ค้ำประกัน ก็มีความเป็นไปได้ว่า ทีมที่ดูแลบัญชีการถือครองหุ้นให้ "หมอเสริฐ" ดำเนินการแทน แล้วมีข้อผิดพลาดทางเทคนิค กลายเป็นเรื่องปั่นหุ้นไป... ไม่ต่างจากบทนิยายสืบสวนกำลังภายใน ที่เขียนโดยโกวเล้ง บางทีเราอาจได้เห็นตัวละครที่อยู่หลังฉากที่ไม่คาดคิดเป็นผู้ฝากรอยแผลให้จอมยุทธ์เฒ่า จนทำให้เราอ้าปากค้าง ก็ได้ ... แต่นั่นก็ขึ้นอยู่ที่ว่า กระบวนการยุติธรรม จะเชื่อในนิยายยุทธจักร เรื่องนี้ไหม

**"รสนา" ข้องใจ!! “รัฐบาลเล่นละครตบตา เรื่องปลดล็อกกัญชา อย่างไรเสียก็ต้องเอื้อประโยชน์ต่างชาติ ใช่ หรือไม่?!”
รสนา โตสิตระกูล
ร่าง พ.ร.บ ยาเสพติด พ.ศ.... ที่แก้ไขปลดล็อกให้กัญชาสามารถนำมาปลูก และวิจัยเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ที่ผ่าน สนช.เรียบร้อยแล้ว ทราบจาก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว จะยังไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย หากแก้ปัญหาคำขอสิทธิบัตรของต่างชาติที่ยังคาอยู่ไม่ได้

เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่า คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่สามารถสั่งการตามสายบังคับบัญชาได้โดยตรง ผ่านรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ มาถึงอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้เพิกถอนคำขอสิทธิบัตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้ทันที ตาม พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ 2522 แก้ไขปี 2542 มาตรา 30 ที่บัญญัติไว้ดังนี้

“มาตรา ๓๐ เมื่อได้ประกาศโฆษณาตามมาตรา ๒๘ แล้ว ถ้าปรากฏว่าคําขอรับสิทธิบัตรไม่ชอบด้วย มาตรา ๕ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ หรือมาตรา ๑๔ ให้อธิบดีสั่งยกเลิกคําขอรับสิทธิบัตรและให้พนักงานเจ้าหน้าที่แจ้งคําสั่งไปยังผู้ขอรับสิทธิบัตรรวมทั้งผู้คัดค้าน ในกรณีที่มีการคัดค้านตามมาตรา ๓๑ และให้ประกาศโฆษณาคําสั่งนั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดโดย กฎกระทรวง”

โดยที่คำขอสิทธิบัตรกัญชา ขัดต่อ มาตรา 9(1) และ 9(5) เพราะคำขอสิทธิบัตรกัญชา เป็นทั้งสารสกัด และขัดต่อความสงบเรียบร้อย เพราะเป็นยาเสพติด ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตในการวิจัย หรือใช้เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ แต่อธิบดี กลับปล่อยให้มีการรับคำขอสิทธิบัตรกัญชา และมีหลายคำขอที่ได้ลงประกาศโฆษณาแล้ว ทั้งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

จาการสำรวจของ ซูเปอร์โพล พบว่าผู้ตอบแบบสำรวจ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 78.4 เห็นด้วยต่อการป้องกันรักษากัญชาไทยไม่ให้ตกอยู่ในมือของชาวต่างชาติ ซึ่งบ่งบอกนัยยะสำคัญว่า ให้รัฐบาล"เซตซีโร" หรือ ยกเลิกคำขอสิทธิบัตรกัญชาทุกฉบับ ก่อนที่จะประกาศใช้ พ.ร.บ.ยาเสพติด ฉบับใหม่

หากอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ความสำคัญต่อประเด็นที่ประชาชนห่วงใย และมีเจตจำนงให้การปลดล็อกกฎหมายกัญชา ต้องคุ้มครองให้กัญชาเป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนไทย ไม่ใช่ปลดล็อกเพื่อเอื้อต่างชาติ อธิบดีกรมฯ ย่อมสามารถใช้อำนาจของตนตาม มาตรา 30 ยกเลิกคำขอทั้งหมดได้ทันที แต่อธิบดีก็ไม่ทำ เพราะเหตุใด ?
ทศพล ทังสุบุตร
จึงขอตั้งเป็นข้อสังเกตว่า กรณีนี้ น่าจะเป็นการ"เล่นละครตบตาประชาชน" ของรัฐบาลคสช. มากกว่า ใช่ หรือไม่ เพราะอธิบดี จะมีอำนาจเหนือกว่านโยบายรัฐบาล คสช.ได้อย่างไร ? หาก คสช.มีความจริงใจที่ต้องการปลดล็อกกัญชา เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทย และต่อประเทศชาติ ไม่ใช่เพื่อเอื้อประโยชน์ต่างชาติ ย่อมสั่งการให้อธิบดี ยกเลิกคำขอสิทธิบัตรทันที ใช่ หรือไม่ ?

หากอธิบดีดื้อด้าน ด้วยทัศนคติของตัวเอง ไม่ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล รัฐมนตรีเจ้ากระทรวง ย่อมสามารถใช้อำนาจตามสายบังคับบัญชาปลดอธิบดีได้ ใช่หรือไม่?

แต่การยื้อคำขอสิทธิบัตรของต่างชาติไว้ โดยให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา "รับหน้าเสื่อ" และเป็น"หนังหน้าไฟ" แทนรัฐบาลคสช. ย่อมแสดงว่า รัฐบาลคสช. ไม่มีความจริงใจในการปลดล็อกกัญชา เพื่อประโยชน์สูงสุดของคนไทย แต่ต้องการแก้กฎหมายปลดล็อกกัญชา เพื่อเปิดทางให้ต่างชาติมา"ผูกขาดสิทธิบัตรกัญชา" ใช่หรือไม่ ?!


กำลังโหลดความคิดเห็น