xs
xsm
sm
md
lg

เบื้องหลังปลด "ปู-ยิ่งลักษณ์" พ้นบริษัทซัวเถา พร้อมปริศนาพาสปอร์ตเขมร **สะพัด"ใบสั่ง" จากแดนไกล ให้ดัน "ชัชชาติ" ขึ้นเบอร์ 1 แทน "เจ๊หน่อย" **"หมอเสริฐ" เจอโทษ "ปั่นหุ้น" ค่าปรับเฉียด 500 ล้าน

เผยแพร่:   โดย: นกหวีด


ข่าวปนคน คนปนข่าว

**เบื้องหลังปลด "ปู-ยิ่งลักษณ์" พ้นบริษัทซัวเถา ทั้งที่เพิ่งอวดโอ่โชว์พาว นั่งเก้าอีตัวใหญ่ทำธุรกิจต่างแดนไม่ถึงเดือน พร้อมปริศนาพาสปอร์ตเขมร ที่หวั่นจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างเทศ จีนเอาจริง! ตัดไฟไม่ให้ใช้เป็นฐานเอาประโยชน์การเมือง

สองพี่น้อง "ทักษิณ -ยิ่งลักษณ์" อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคดี กำลังได้รับผลจากการโชว์พาวไม่เลือกที่ โดยเฉพาะที่จีน ... ล่าสุด เมื่อวานนี้ (20ม.ค.) สำนักข่าวอิศรา เผย ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวในฮ่องกงที่กระซิบบอกว่า บริษัท ซัวเถา อินเตอร์เนชั่นแนล คอนเทนเนอร์ เทอร์มินัลส์ (汕头国际 集装箱码头有限公司) หรือ SICT ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับท่าเรือ ที่ตั้งอยู่ในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีนนั้น ได้ประกาศเปลี่ยนตัวประธานบริษัท จาก "ประธานปู" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นชาวจีนที่ชื่อว่า "เฉิน เหว่ยตง" (陈伟东)เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา หลังจากที่ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งเดือน เพิ่งแต่งตั้ง "ประธานปู" ไปเมื่อ วันที่ 12 ธันวาคม 2561 จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วทั้ง ไทย จีน ฮ่องกง

ไม่กี่วันก่อนปีใหม่ "ปู" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีคดีอยู่เงียบๆ กลัวคนจะลืม และเพื่อช่วยพรรคหาเสียงทำตัวให้เป็นข่าวไปโผล่ที่ซัวเถา พร้อมพี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร บอกว่ามาไหว้บรรพบุรุษ ก่อนที่จะปล่อยข่าวฮือฮาตามมาว่า แท้ที่จริงได้ซื้อหุ้นของบริษัทท่าเรือ ที่ซัวเถาแถมได้นั่งเป็นประธานบริษัทใหญ่โต ประโคมโอ่กันเต็มที ทั้งพี่ทั้งน้อง อดีตนายกรัฐมนตรี แม้เป็นนักโทษหลบหนีคดีก็ยังไว้ลาย "ทำธุรกิจ" ต่างแดนได้สบายๆ ... ว่ากันว่า การปลดยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง ประธานบริษัทครั้งนี้ มีแรงกดดันมหาศาลของรัฐบาลจีน ต่อบริษัทท้องถิ่นในกวางตุ้ง นอกจากจะดับไฟแต่ต้นลม ยังเพราะนี่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ ที่จะให้ ยิ่งลักษณ์ หรือ ทักษิณ ใช้จีนเป็นฐานการเคลื่อนไหว โดยหวังผลทางการเมือง
ยิ่งลักษณ์ – ทักษิณ ชินวัตร
ยิ่งตอนที่เป็นข่าว มีรายงานจากสื่อครึกโครม หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ ในฮ่องกง ถึงกับบอกว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ใช้หนังสือเดินทางหรือ"พาสปอร์ตกัมพูชา" ในการทำธุรกรรมจดทะเบียนบริษัทที่ฮ่องกง ก่อนจะเข้าถือหุ้นใน บริษัท ซัวเถา ... พาสปอร์ตสาวขแมร์ ของยิ่งลักษณ์ ได้กลายเป็นปมปริศนาว่า ว่ามีที่มาที่ไป อย่างไร ทางการกัมพูชา ถึงกับออกมาปฏิเสธปากสั่น ว่าไม่เคยออกให้กับยิ่งลักษณ์ หรือใครมาก่อน เป็นไปได้ว่า เป็นของปลอม ... ประเด็นนี้มีรายงานว่า ทางการจีนเองก็ไม่ค่อยสบายใจ เกรงจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ไม่เฉพาะแต่กับไทย แต่รวมถึงชาติอาเซียน ที่จีนให้ความสำคัญยิ่ง

การออกโรงเคลื่อนไหวกดดันของจีนในห้วงเวลานี้ จึงส่งสัญญานชัดเจนว่า ไม่ต้องการให้ ทักษิณ หรือ ยิ่งลักษณ์ กระทำการใดๆ ที่จะพาจีนไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางเมือง ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ ... ถ้านับรวมกับรายงานข่าวจากสำนักงาน ป.ป.ช. เมื่อวันศุกร์ (18ม.ค.) ว่า คดีระบายข้าว"จีทูจีล็อตสอง" กับจีน สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงมติไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติม โดยขยายข้อมูลจาก นายบุญทรง เตยาภิรมย์ ที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำ คราวนี้ไม่ใช่แค่"ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ชินวัตร" ยังรวมถึง"นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์" น้องสาวทักษิณ ที่จะโดนด้วยอีกคน ... เมื่อจีนไม่เล่นด้วย ไม่อนุญาตให้เคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวการเมืองในต่างแดนประเทศจีนของ "ทักษิณ -ยิ่งลักษณ์" ถึงตอนนี้ ก็ต้องบอกยากยิ่ง ... ต้องสมน้ำหน้าที่อวดโอ่ โชว์พาว ดีนัก ...Good Monday

**สะพัด"ใบสั่ง" จากแดนไกล ให้ดัน "ชัชชาติ" ขึ้นเบอร์ 1 บัญชีนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย แทน "เจ๊หน่อย" นี่คงมาจากวาทกรรม "อยู่กับเรากระเป๋าตุงฯ" เป็นเหตุ เพราะไปเปิดหน้าให้ฝ่ายตรงข้าม ทิ่มเอาจนเสียหลักไม่เป็นขบวน ว่าใครกันแน่ ที่ "เป๋าตุง" จนเผ่นออกนอกประเทศ แถมมีเงินไปซื้อกิจการท่าเรือ ที่ซัวเถา
ชัชชาติ สิทธิพันธุ์
เหตุน่าจะมาจากวาทกรรม "อยู่กับเรากระเป๋าตุง อยู่กับลุงกระเป๋าแฟบ" ที่ "เจ๊หน่อย" พูดทุกครั้ง ที่ตระเวนขึ้นเวทีปราศรัย ทั้งภาคเหนือและภาคอีสาน กลายเป็นการเปิดหน้า ให้ฝ่ายรัฐบาล ทั้ง"บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. รวมทั้ง "บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์ สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สวนกลับเอาได้ว่า "เจ๊หน่อย" น่าจะรู้ดี ว่าใคร กระเป๋าตุง ใครกระเป๋าแฟบ ... ก็เพราะชาวนา ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือใน โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด "ตันละหมื่นห้า" สุดท้าย คนที่กระเป๋าตุง เผ่นออกนอกประเทศกันไปแล้ว แถมมีเงินไปซื้อกิจการท่าเรือ ที่เมืองซัวเถา ประเทศจีน อีกต่างหาก ...นอกจากนี้ การนำทัพออกเดินสายโปรโมตพรรค ทั้งในกรุง และต่างจังหวัด กระแสเพื่อไทย ก็ไม่กระเตื้องขึ้นมาเลย
สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
จึงเป็นที่มาของ "ใบสั่ง" ให้ลดระดับ "เจ๊หน่อย" จาก " เบอร์1" ในบัญชีนายกฯของพรรคเพื่อไทย แล้วดันให้ "บุรุษแกร่งที่สุดในปฐพี" ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม ขึ้นไปยึดหัวหาดแทน ส่วนตัวเจ๊ อาจจะต้องไปเป็น เบอร์ 2 ... เรื่องนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถาม "เจ๊หน่อย" ในขณะที่ออกไปพบปะประชาชน ที่ย่านดินแดง ห้วยขวาง ก็ได้รับคำตอบแบบปลง ปลง ว่า ส่วนตัวก็หนุน "ชัชชาติ" อยู่แล้ว เพราะมีความเหมาะสม ที่จะเป็นนายกฯ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหากัน ตัวเองของเป็นแค่ "เจเนอรัลเบ๊" ที่พร้อมรับใช้ในทุกเรื่องก็พอแล้ว แต่ก็ยังไว้เชิง "เจ้าแม่วังทองหลาง" ว่า เรื่องนี้จะชัดเจนก็ต่อเมื่อ มีการกำหนดวันเลือกตั้ง และประกาศออกมาชัดเจนแล้วเท่านั้น ... แหม..ข่าวว่ามีใบสั่ง "จากแดนไกล" มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะมีพลิกกลับมาอีกรอบ หรือเจ๊

**จอมยุทธย่อมมีบาดแผล ! โดยเฉพาะยอดยุทธ์ระดับหนึ่งไม่มีสองรองใคร อย่าง "หมอเสริฐ" นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ที่ตอนนี้กำลังเจอมรสุมยุทธจักร อย่างเรื่องที่ว่า รัฐกำลังเงื้อง่า เอายาและเวชภัณฑ์เข้าเป็นบัญชีสินค้าควบคุมราคา และล่าสุด ก.ล.ต.กล่าวโทษ ฐาน "ปั่นหุ้น" พร้อมลูกสาว เรียกค่าปรับเฉียด 500 ล้าน
นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ
สำหรับชาวยุทธ์รุ่นใหม่ เส้นทางของ"ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ" ต้องถือว่าเป็นตำนานที่น่าติดตามอันมากด้วยสีสันเรื่องหนึ่ง ... วิบากกรรมกรณี "ปั่นหุ้น" บางกอกแอร์เวย์ส หนึ่งในธุรกิจแสนรักของ "หมอเสริฐ" ที่ฟูมฟักตั้งแต่เป็นศูนย์ จนกลายเป็นสายการบินบูทิกแอร์ไลน์ ชั้นนำของประเทศในวันนี้ ... หมอเสริฐ พร้อมลูกสาว ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กล่าวโทษเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่าร่วมกันปั่นหุ้น บริษัท การบินกรุงเทพ เจ้าของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส โดยตรวจสอบพบหลักฐานการซื้อขายหุ้นกันไป-มา เข้าข่ายมีลักษณะเป็นการอำพรางให้นักลงทุนอื่นๆ เข้าใจผิด เหตุเกิดระหว่างกัน ช่วงระหว่างวันที่ 13 พ.ย.58 ถึงวันที่ 12 ม.ค.59 ... ผลจากการปั่นราคาหุ้นของบริษัทการบินช่วงนั้น มีบันทึกว่า ราคาได้ขยับจาก 20.50 บาท ในวันที่ 13 พ.ย.58 ไปถึง 24.88 บาท ในวันที่ 12 ม.ค.59 หรือเพิ่มขึ้น 4.38 บาท สรุปแล้วหมอเสริฐ ได้ทยอยเข้าซื้อหุ้นบริษัทการบินกรุงเทพฯ 24 ครั้งรวมๆ เกือบ 100 ล้านหุ้น คิดเป็นเงินราว 2,070.82 ล้านบาท

ตามหลักฐานที่ปรากฏ แม้จะยังไม่มีการคำนวณผลประโยชน์ที่คาดว่า "หมอเสริฐ" จะได้รับจริงๆ จากการซื้อขายหุ้นบางกอกแอร์เวย์ส แต่เมื่อปีที่แล้ว การจัดอันดับเศรษฐีหุ้นของเมืองไทย ก็เพียงพอที่จะทำให้ หมอเสริฐ ถือครองหุ้นบริษัทต่างๆ ในอาณาจักรของเขารวม 77,129.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 กว่า 13,602.02 ล้านบาท หรือ 21.41% เป็นเบอร์ต้นๆ ของคนรวยหุ้น ... งานนี้ ก.ล.ต. เรียกให้ "หมอเสริฐ" ชำระค่าปรับทางแพ่งรวม 499.45 ล้านบาท และสั่งห้ามเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์ และบริษัทจดทะเบียน ... ดูจากสถิติการลงโทษทางแพ่งของ ก.ล.ต.กรณี หมอเสริฐ กับค่าปรับ 499.45 ล้านบาท ถือว่าเป็นมูลค่าที่สูงพอสควร เมื่อเทียบกับปี 2561 ซึ่งทั้งปี ก.ล.ต.ทำไป 3 คดี ค่าปรับอยู่ที่ 293 ล้านบาท ... มาถึงจุดนี้ หมอเสริฐ คงจะมีทางเลือกอยู่แค่ ก้มหน้ายอมรับกับค่าปรับเฉียดๆ 500 ล้านบาท หรือ รอ ก.ล.ต.ส่งฟ้องศาลแพ่ง เพื่อบังคับคดี

หากย้อนดูชีวประวัติของหมอเสริฐ ก็จะเห็นว่ากว่าจะมีวันนี้ไม่ใช่ได้มาด้วยโชคช่วย ยิ่งการทำธุรกิจการบินด้วยแล้ว นับเป็นตำนานบทหนึ่งของบ้านเราเลยทีเดียว ... นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ เกิดในตระกูล "ช้างบุญชู" ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากเกี่ยวกับเวชกรรมโอสถต่างๆ "ทองคำ ช้างบุญชู" ซึ่งเป็นอา และเป็นผู้ประสิทธิประสาทวิชาแพทย์ให้เขามาแต่เด็กๆ เป็นหมอพื้นบ้าน ที่ได้รับการยอมรับนับถือจนสามารถเข้านอกออกในเขตพระราชฐานสมัยก่อนได้ ... "ทองอยู่ ช้างบุญชู" ผู้เป็นพ่อ เป็นผู้ที่เปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น "ปราสาททองโอสถ" พร้อมตั้งโรงงานผลิต และจำหน่ายยาหอมขึ้นเป็นครั้งแรก บริเวณห้าแยกพลับพลาไชย ยาหอมปราสาททอง ยาหอมอินทรแท่งทอง ยาข่าหอมปราสาททอง ฯลฯ ชื่อเหล่านี้ เป็นที่รู้จักกันดีแต่อดีตสืบต่อจนปัจจุบัน

"ปราเสริฐ" เรียนจบด้านศัลยแพทย์ จากศิริราช เขาเป็นหมอผ่าตัดในจำนวนไม่มากนักที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ในความสามารถ ผลงานที่สร้างชื่อมากที่สุดก็คือ การผ่าตัดนายทหารนักบินคนหนึ่งที่หมอทุกคนลงความเห็นว่า "ไปไม่รอด" แต่เขากลับช่วยชีวิตไว้ได้ราวปาฏิหาริย์ ... ทว่า นพ.ปราเสริฐ ก็หันหลังให้กับอาชีพหมอในเวลาต่อมา โดยเริ่มมาทำการค้า และร่วมธุรกิจกับเพื่อน โดยจับงานธุรกิจก่อสร้างเป็นงานแรก ในนามบริษัท "สหกลเอ็นยิเนียเริ่ง" ที่ต่อมาเป็น บริษัทในเครือ "กรุงเทพสหกล" ... สมัยนั้น สหรัฐอเมริกา มีโครงการจัดตั้งฐานทัพในเมืองไทย จึงมีการลงทุนก่อสร้างต่างๆ มากมาย ก็ด้วยความสามารถ ทั้งเหนือเมฆ และใต้ดิน สหกลเอ็นยิเนียริ่ง นับเป็นบริษัทเดียวที่คว้างานเหล่านั้นไว้ได้มากที่สุด โครงการที่สร้างชื่อให้ลือลั่น และทำกำไรอย่างมหาศาล ก็คือ การสร้าง"สนามบินอู่ตะเภา" ที่สัตหีบ

จากนั้นหมอเสิรฐ ก็ขยายธุรกิจไปอีกมากทั้งการขนส่ง พลังงาน และ ก็เริ่มธุรกิจการบินในปี 2511 โดยจัดตั้งเป็นแผนกการบิน ของบริษัทกรุงเทพสหกล หลังจากนั้น ในปี 2527 จึงได้ก่อตั้ง บริษัท สหกลแอร์ จำกัด ขึ้นเพื่อรับโอนกิจการต่างๆ ซึ่งรวมถึงแผนกการบิน จากบริษัท กรุงเทพสหกล จำกัด และในภายหลัง ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด”... บริษัทการบินกรุงเทพฯ ได้เริ่มให้บริการเที่ยวบินแบบประจำอย่างเป็นทางการภายใต้ ชื่อปัจจุบันคือ“สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส”นับตั้งแต่ปี 2529 เป็นต้นมา โดยวันที่ 20 มกราคม 2529 ได้ให้บริการเที่ยวบินแรก เที่ยวบินปฐมฤกษ์ ... 51 ปีผ่านไป นับแต่วันที่ลงหลักปักฐานในธุรกิจการบินของอดีตหมอผ่าตัดมือวางของประเทศ วันนี้คนทั่วโลกรู้จัก "บางกอกแอร์เวย์ส" สมกับความตั้งใจจะเป็นจ้าวเวหาของหมอเสริฐ เมื่อแรกเริ่มทำความฝันให้เป็นจริง ล้มลุกคลุกคลานมาก็ไม่ใช่น้อย คล้ายกับเครืองบินที่บินฝ่ามรสุม ตกหลุมอากาศมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ไม่เคยท้อถอย

แม้เงินค่าปรับ 500 ล้านบาท ในการถูกลงโทษปั่นหุ้นบางกอกแอร์เวย์ส จะไม่นับเป็นอย่างไรได้ ก็ต้องบอกว่าส่งพลานุภาพทำลายล้างไม่เบา แต่ก็ยังไม่ถึงกับทำให้หมอเสริฐ ที่กำลังจะอายุครบ 86 ปีกระอักโลหิตได้ มีเพียงเซถลาไปสักสามก้าว เสียเหลี่ยมเล็กน้อยเท่านั้น ... อย่างไรก็ดี ต้องถือว่าธุรกิจแต่ละอย่างของหมอเสริฐ ล้วนเป็น 1ไม่มีสอง ถึงแม้บางกอกแอร์เวย์ส จะโดนคดีปั่นหุ้น แต่รางวัลสายการบินยอดเยี่ยมที่พึ่งได้รับมา ว่าเป็น สายการบินภูมิภาคที่ดีที่สุดในโลก และดีที่สุดในเอเชีย จากการประกาศผลรางวัล สกายแทร็กซ์ เวิลด์ แอร์ไลน์ อวอร์ด ประจำปี 2561 ก็ต้องบอกว่า ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน


กำลังโหลดความคิดเห็น