xs
xsm
sm
md
lg

กสม.-มูลนิธิเมาไม่ขับ จี้รัฐกำหนดนโยบายรับผิดชอบ หลังไม่สวมหมวกทำเด็กตายพุ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


กสม.จับมือมูลนิธิเมาไม่ขับ จี้หน่วยงานรัฐร่วมรับผิดชอบ ระบุไม่สวมหมวกกันน็อก ทำสถิติเด็กไทยตายพุ่งวันละ 10 ราย กำหนดนโยบายขนส่งให้เด็กเดินทางปลอดภัย

วันนี้ (7 ม.ค.) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ร่วมกับมูลนิธิเมาไม่ขับ จัดเวทีสาธารณะเรื่อง “ความปลอดภัยในการโดยสารรถจักรยานยนต์ : สิทธิลูกหลานไทยที่ต้องคุ้มครอง”โดย นางฉัตรสุดา จันทร์ดียิ่ง กสม.กล่าวว่า ไทยถือเป็นประเทศที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในโลก โดยเด็กและเยาวชนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนน เฉลี่ยมากถึงปีละ 2,510 ราย ซึ่งเยาวชนอายุ 15-25 ปี เป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด และหากนับเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ 7 วันอันตราย ระหว่างวันที่ 27 ธค. 61 - 2 ม.ค. 62 ที่ผ่านมา พบว่า อุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนใหญ่เกิดจากรถจักรยานยนต์ถึงร้อยละ 79.53 อุบัติเหตุจากรถจักรยานยนต์จึงเกิดขึ้นมากที่สุดตลอดปีและทุกเทศกาลของไทย ส่งผลให้ประเทศต้องสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าและเยาวชนที่จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญของชาติไปอย่างไร้เหตุผล เพียงเพราะความประมาท ไม่ป้องกันตัว ไม่จริงจังกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้นเพื่อให้การปกป้องลูกหลานของเราจากอันตรายที่เกิดขึ้นโดยรถจักรยานยนต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้จัดเวทีสาธารณะเพื่อรณรงค์การลดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยมุ่งเน้นไปที่การคุ้มครองกลุ่มเด็กและเยาวชนให้สวมหมวกนิรภัยในการขับขี่และโดยสาร

นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับและเลขาธิการชมรมคนห่วงหัว กล่าวว่า จากฐานข้อมูลผู้เสียชีวิตบนท้องถนน ปี พ.ศ. 2559 พบว่า ในทุกๆ วันเด็กและเยาวชนไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉลี่ย 10 คนต่อวัน โดยร้อยละ 80 เสียชีวิตจากการขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์เพราะไม่สวมหมวกนิรภัย ขณะที่กลุ่มเด็กเล็กที่ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของพ่อแม่ผู้ปกครองก็มีสถิติการสวมหมวกนิรภัยที่ต่ำมากเพียงร้อยละ 7 จึงเกิดคำถามว่า จะทำอย่างไรให้เรื่องสิทธิความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายของเด็กโดยเฉพาะอันตรายที่เกิดจากจักรยานยนต์ได้รับการคุ้มครอง

“การเสียชีวิตของเด็กและเยาวชนจากอุบัติเหตุรถมอเตอร์ไซค์ เพราะการขับขี่ไม่ปลอดภัย หรือการไม่ใส่หมวกกันน็อกให้เด็ก ไม่ใช่เพียงภาระหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครองในการคุ้มครองบุตรหลาน แต่หน้าที่ที่หน่วยงานของรัฐต้องร่วมรับผิดชอบและให้ความคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกายของเด็ก ซึ่งขณะนี้ ยังไม่เห็นว่ามีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลอย่างจริงจัง”

ด้าน นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว กล่าวว่า อุบัติเหตุทางถนนถือเป็นสาเหตุอันดับ 2 ของการเสียชีวิตในเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 10 ปี รองจากอุบัติเหตุจากการจมน้ำ อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มเด็กอายุ 10-18 ปี อุบัติเหตุทางถนนถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันแก้ไขและคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกายของเด็ก ตามที่ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 มาตรา 26 (2) ระบุว่า ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ห้ามมิให้ผู้ใดจงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตหรือการรักษาพยาบาลของเด็กที่อยู่ในความดูแลของตนจนน่าเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก รัฐบาลจึงต้องมีนโยบายและการลงทุนในระบบขนส่งสาธารณะที่เพียงพอและปลอดภัย เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยไม่ต้องเสี่ยงภัยกับอุบัติเหตุบนท้องถนน

ด้านนายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ผู้ชำนาญการประจำ กสม. กล่าวว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บและล้มตายในเด็กนอกจากการไม่เคารพกฎจราจรของผู้ขับขี่แล้ว อีกด้านหนึ่งคือ การขาดการวางแผนการเดินทางที่เหมาะสมสำหรับเด็ก ซึ่งไม่ใช่เฉพาะพ่อแม่ผู้ปกครอง แต่รวมถึงสถาบันการศึกษา ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หากดูตัวอย่างในต่างประเทศพบว่า บางประเทศไม่ยอมให้เด็กโดยสารรถจักรยานยนต์ แต่มีการวางแผนให้เด็กเดินทางจากบ้านไปโรงเรียนด้วยระบบรถโรงเรียนที่ปลอดภัย

ดังนั้น การคุ้มครองเด็กให้รอดพ้นจากอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยเฉพาะการโดยสารรถจักรยานยนต์ จึงไม่ควรใช้เพียงมาตรการทางกฎหมาย แต่ยังต้องใช้มาตรการเชิงบริหารด้วย เช่น หน่วยงานที่ใกล้ชิดครอบครัวที่สุด คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงศึกษาธิการ ควรเข้ามาบริหารจัดการและพัฒนาระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนในเรื่องการเดินทางที่ปลอดภัยจากบ้านไปโรงเรียน ขณะที่กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ควรบรรจุเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางของเด็กไว้ในแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการรณรงค์และคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและร่างกายของเด็กจากการเดินทางได้อย่างเป็นระบบต่อไป





กำลังโหลดความคิดเห็น