xs
xsm
sm
md
lg

สังศิตโพล คะแนนนิยมล่าสุด “ประยุทธ์” ยังนำอันดับ 1 ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี เลือกตั้ง '62

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“รศ.ดร.สังศิต” สำรวจความนิยมของนักการเมืองที่ประชาชนอยากให้เป็นนายกรัฐมนตรี เลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 คะแนนนิยมมากที่สุด 5 อันดับแรก “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์” “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” “อนุทิน ชาญวีรกูล”

วันนี้ (6 ม.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะผู้อำนวยการโครงการสำรวจความนิยมของนักการเมืองที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 วิทยาลัยฯ ได้ทำการรวบรวมประชากรครั้งละ 8,000 ตัวอย่าง ใน 350 เขตเลือกตั้ง ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ตามโครงสร้างของประชากรไทยในปัจจุบันคือ ภาค อาชีพ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ฯลฯ ด้วยระดับความเชื่อมั่นทางสถิติ 90% การสำรวจดำเนินการมาแล้ว 4 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 ผลการสำรวจพบว่า ผู้ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชนทั่วประเทศมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 29.34% 2) คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 26.24% 3) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 24.74% 4) นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 10.61% และ 5) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 4.54% และอื่นๆ ที่เหลือ 4.53% (ดูตารางที่ 1)

การสำรวจครั้งที่ 2 วันที่ 13 มิถุนายน 2561 พบว่า คะแนนนิยมของประชาชนทั่วประเทศที่อยากได้คนเป็นนายกรัฐมนตรี เรียงตามลำดับดังนี้ คือ 1) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 19.34% 2) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 17.31% 3) คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 8.93% 4) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 5.68% 5) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 4.36% และ 6) อื่นๆ ที่เหลือ 37.61% (ดูตารางที่ 2)

ผลการสำรวจครั้งที่ 3 วันที่ 15 ตุลาคม 2561 คะแนนนิยมผู้ที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีเรียงตามลำดับ ได้แก่ 1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 19.62% 2) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 16.91% 3) คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 16.43% 4) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 14.42% 5) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 3.52% และ 6) อื่นๆ ที่เหลือ 29.10% (ดูตารางที่ 3)

ผลการสำรวจครั้งที่ 4 วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561 คะแนนนิยมผู้ที่ประชาชนปรารถนาให้เป็นนายกรัฐมนตรีเรียงตามลำดับ ได้แก่ 1) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 27.06% 2) คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 18.16% 3) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 15.55% 4) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ 9.68% 5) นายอนุทิน ชาญวีรกูล 2.26% และ 6) อื่นๆ ที่เหลือ 27.30% (ดูตารางที่ 4)

จากผลการสำรวจทั้ง 4 ครั้งแสดงให้เห็นว่า พรรคของนายทักษิณ ชินวัตร (ไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย) มาถึงจุดที่กำลังตกต่ำเสื่อมโทรมลงเป็นลำดับ ด้วยเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้ คือ ประการแรก ในระยะเริ่มต้นของการก่อตั้งพรรคไทยรักไทย พรรคนี้เคยมีผู้ปฏิบัติงานที่มีประสบการณ์สูง (กลุ่มเอ็นจีโอ) ในการทำงานกับประชาชนระดับล่างทั่วประเทศ พวกเขาช่วยรวบรวมปัญหาต่างๆ ของคนระดับรากหญ้าขึ้นมาจนช่วยให้พรรคไทยรักไทยสามารถนำเสนอนโยบายและวาทกรรมที่สำคัญ 2 เรื่อง คือ 1) นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค และ 2) นโยบายกองทุนหมู่บ้านที่สามารถเอาชนะพรรคการเมืองทุกพรรคมาโดยตลอดนับตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้น แต่ในปัจจุบันเอ็นจีโอส่วนใหญ่กลับยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ประการที่สอง พรรคไทยรักไทย และ พรรคเพื่อไทย เคยเป็นผู้นำในการนำระบบการสื่อสารที่ก้าวหน้ากว่าและทันสมัยกว่าในการเอาชนะพรรคคู่แข่ง แต่ในขณะนี้พรรคการเมืองอื่นๆ สามารถนำเอาเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ (Social Media) เช่น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม และ ไลน์ ฯลฯ มาสื่อสารกับประชาชนได้ไม่แตกต่างจากพรรคเพื่อไทย ทำให้ความได้เปรียบในเรื่องนี้หมดไป ประการที่สาม พรรคไทยรักไทย เคยมีนักวิชาการ นักคิด และนักยุทธศาสตร์ที่ทำให้พรรคนี้มีแนวความคิดและนโยบายที่ท้าทายยิ่งกว่าพรรคการเมืองทุกพรรค แต่ทุกวันนี้พรรคเพื่อไทยขาดบุคลากรเหล่านี้ ทำให้พรรคขาดความสามารถในการสร้างนโยบายการเงินการคลังที่เป็นประโยชน์แก่คนในสังคมส่วนใหญ่ได้ หลังจากที่นโยบายจำนำข้าวและนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 350 บาทต่อวัน ก่อความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจในระดับมหภาคอย่างร้ายแรง และติดตามมาด้วยการพบว่ามีการทุจริตอย่างรุนแรง เรื่องนโยบายจำนำข้าว คนชั้นกลางจำนวนมากได้หมดความเชื่อถือต่อพรรคเพื่อไทยไป ประการที่สี่ พรรคเพื่อไทยในขณะนี้ ขาดผู้นำที่มีบารมีและมีภาวะผู้นำที่สูงมากพอที่จะรวบรวมสมาชิกจำนวนมากให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ภายในกลุ่มที่สนับสนุนนายทักษิณ ชินวัตร เกิดกลุ่มก๊กต่างๆ ที่มีแนวความคิดและการบริหารจัดการที่ยากจะร่วมงานกันได้อย่างราบรื่น และประการสุดท้าย การเกิดขึ้นของพรรคพลังประชารัฐ ที่กำลังมีอำนาจทางการเมือง และมีนโยบายด้านมหภาคและจุลภาคต่างๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายบัตรคนจน ซึ่งมีขอบเขตการให้ประโยชน์แก่คนจนอย่างกว้างขว้าง โดยรวมเอานโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค ผนวกรวมเข้ากับนโยบายอื่นๆ อีก เช่น เบี้ยคนชรา ค่าโดยสารสำหรับผู้ป่วย ฯลฯ และพบว่าเป็นนโยบายที่เอาชนะใจกลุ่มคนจนจำนวน 11 ล้านคนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผลการสำรวจเปรียบเทียบ

การวิจัยนี้ ดำเนินการโดยวิธีการเก็บข้อมูลแบบการสำรวจ (Survey Research) กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในประเทศไทยจำนวน 77 จังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งหมด 8,000 ตัวอย่างต่อครั้ง ผลนี้เป็นผลสำรวจครั้งที่ 1 (1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561) ครั้งที่ 2 (13 มิถุนายน พ.ศ. 2561) ครั้งที่ 3 (15 ตุลาคม พ.ศ. 2561) และครั้งที่ 4 (24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561) ดังนี้



กำลังโหลดความคิดเห็น