“อมร อมรรัตนานนท์” แสดงจุดยืนทางการเมือง เผยเข้าสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ หวังเปิดแนวรบใช้ระบบรัฐสภาเป็นตัวเชื่อมประสานเดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศให้หลุดจากวงจรอำนาจอุบาทว์ ยันในทุกสนามที่ต่อสู้กับภาคประชาชน เป็นบทพิสูจน์ชัดไม่เคยก้มหัวให้เผด็จการ
เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 61 นายอมร อมรรัตนานนท์ อดีตแนวร่วมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ “อมร อมรรัตนานนท์ ประชาธิปัตย์ สระบุรี เขต 2 แก่งคอย มวกเหล็ก วิหารแดง วังม่วง” โดยระบุว่า หลังจากมีข่าวอย่างเป็นทางการเผยแพร่ออกไปว่าตนตัดสินใจลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 2 จังหวัดสระบุรี ในนามพรรคประชาธิปัตย์ มิตรสหายและพี่น้องประชาชนที่เคยร่วมเคลื่อนไหวได้แสดงความยินดีจำนวนมาก แต่ก็มีบางส่วนได้ถามถึงเหตุผล และแสดงความห่วงใยทักท้วงในฐานะที่เป็นมิตร
“ผมจึงขอประกาศและแสดงจุดยืนทางการเมือง เป็นพันธสัญญากับเพื่อนมิตร และพี่น้องประชาชนที่รักทุกคนให้ทราบว่า ช่วงระยะเวลากว่า 40 ปี ที่ผ่าน เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ได้ปลุกจิตวิญญาณทางการเมือง และแปรเปลี่ยนวิถีชีวิตของเด็กหนุ่มบ้านนอก จากอำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรี ให้ผิดแผกแตกต่างกับเยาวชนทั่วไป ทั้งชีวิตที่ผ่านมาผมได้ทุ่มเทกับการทำงานทางการเมืองภาคประชาชนกับเพื่อนมิตรสหาย เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ในทุกสนามของการลุกขึ้นสู้ของประชาชน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์และผมภูมิใจกับการที่ผมเป็นนายอมร ที่ไม่เคยก้มหัวให้กับเผด็จการไม่ว่าเป็นเผด็จการรัฐสภาหรือเผด็จการทหาร
ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมไทย เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยของประชาชน โดยผ่านขบวนการภาคประชาชน ที่ใช้แนวทางประชาธิปไตยทางตรง(ประชาธิปไตยบนท้องถนน) ที่ยึดมั่นในผลประโยชน์และอำนาจของประชาชน ได้บ่มเพาะและสั่งสมประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมของผม ทำให้ผมเข้าใจรากเหง้าของสังคมไทย ที่มีความสลับซับซ้อน
ผมได้ถอดเป็นบทเรียนร่วมกับเพื่อนมิตรสหายจำนวนหนึ่ง ว่าการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสังคมที่ดีงามนั้น ลำพังการต่อสู้ของภาคประชาชนไม่อาจได้รับชัยชนะ หรือรักษาดอกผลของชัยชนะได้อย่างแท้จริง
ทุกเหตุการณ์ของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ที่ก่อกำเนิดและผลักดันโดยภาคประชาชน มักจบด้วยการฉกฉวย แย่งชิงดอกผล และเข้าเสวยอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นนำ โดยเบียดขับภาคประชาชนให้ออกจากการมีส่วนร่วมในการจัดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงประเทศ จะมีตบรางวัลหรือตอบแทนบ้างก็เฉพาะกลุ่มหรือบุคคล ที่ยอมสยบในอำนาจเท่านั้น
แต่อย่างไรเสียท่ามกลางการเปลี่ยนของโลกสมัยใหม่ที่ไม่หยุดนิ่ง ชนชั้นนำก็ไม่อาจต้านทานคลื่นกระแสประชาชนที่ตื่นรู้ พวกเขาทำตัวเป็นนักสังคมสังเคราะห์ หยิบยื่น ผลประโยชน์บางด้าน มอบให้หวังจะมอมเมาประชาชน แต่อีกด้านหนึ่งก็ผลิตหรือยอมรับนโยบายบ้างด้าน ที่มีลักษณะผ่อนปรน เยียวยา และลดกระแส เพื่อที่จะหยุดกระแสตื่นรู้ของประชาชน
ดั้งนั้น การจะสร้างพลังนำของการเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นกำปั้นเหล็ก ทุบทลายกำแพงแห่งอำนาจ จำเป็นที่จะต้องเปิดแนวรบทุกด้าน ทุกพื้นที่ ประสานสอดรบกับ อย่างมีจังหวะก้าว การต่อสู้ก็จะมีหลักประกัน
การต่อสู้ในระบบรัฐสภาจึงเป็น แนวรบหนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง ที่จะต้องทำงานสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกับแนวรบภาคประชาชน
ผมในฐานะที่ทำงานการเมืองอยู่บนท้องถนน ร่วมกับพี่น้องประชาชนมาทุกสนาม ไม่ว่าจะในเมืองหรือในพื้นที่ภาคชนบท ได้ตรึกตรองและตัดสินใจแล้วว่า จะเพิ่มพื้นที่ของการเคลื่อนไหวเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจในระบบรัฐสภา โดยมุ่งหวังว่าจะใช้บทเรียนและประสบการณ์ตรงเชื่อมประสานให้พรรคการเมือง และบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้เข้าใจและยอมรับอำนาจ ยอมรับพลังของการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ที่จะร่วมมือกันปฏิรูปประเทศให้เป็นของประชาชน ที่มีองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระประมุข
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีพรรคสังกัด การเลือกอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ มีเหตุผลดังนี้
พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองเดียวที่เป็นสถาบันทางการเมืองมา 72 ปี ที่ไม่มีใครหรือกลุ่มใดเจ้าของ ที่สำคัญเป็นพรรคที่มีกฎ ข้อบังคับ และโครงสร้างที่เปิดพื้นที่ให้อำนาจสมาชิกพรรคมีส่วนร่วม ในการบริหาร และกำหนดยุทธศาตร์ ทิศทางของพรรค
ที่ผ่านบทเรียน พรรคได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ผิดบ้างถูกบ้าง รุ่งเรืองตกต่ำ โดนตำหนิโดนชื่นชม เป็นธรรมชาติเป็นสัจธรรม ไม่มีอะไรดีเลิศหรือสมบูรณ์ ที่ผ่านมาพรรคได้เรียนรู้ และได้สรุปบทเรียน นำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตลอดมา
ภายในพรรคเอง ก็มีเพื่อนมิตรร่วมอุดมการณ์ จำนวนมากที่มีจะสามารถเป็นหน่อเนื้อ ร่วมมือกับสมาชิกทุกรุ่นทุกคน สร้างพรรคให้เป็นธงนำเป็นที่พึ่งหวังของภาคประชาชนได้
ในวันนี้ในสถานกาณ์ใหม่ที่สลับซับซ้อน ทางออกของประเทศ ไม่ใช่ซ้าย ไม่ใช่ขวา ไม่ใช่ประชานิยม หรือประชารัฐ แต่ควรมีเพียงทางออกเดียว คือประชาชนต้องกำหนดอนาคตของตนเอง
ล่าสุดผมเห็นจุดยืนของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะหัวหน้าพรรค ที่ได้ประกาศแสดงจุดยืนด้วยคำพูดที่เป็นวรรคทอง ที่ประกาศเป็นพันธสัญญาประชาคมว่า
“วันนี้ผมจะขอโอกาส ผมเข้ามาการเมืองไม่ได้แสวงอะไรเพื่อตัวเอง ผมเข้ามาเพราะมีความฝันอยากเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร วันนี้ต้องทำให้ฝันให้เป็นจริงด้วยโอกาสครั้งนี้เพราะฉะนั้นจึงหมดเวลาที่จะเกรงใจใคร”
นัย “หมดเวลาที่จะเกรงใจใคร” เป็นความลึกซึ้ง และสะท้อนถึงอดีต ที่คุณอภิสิทธิ์ได้ผ่านการสรุปบทเรียนของตนเองจากการทำงานที่ผ่านมา ที่สังคมเคยตั้งคำถามเชิงปรามาสไว้
ภาวะผู้นำที่ยอมรับอดีต เก็บรับบทเรียน และมุ่งมั่นในอนาคต เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และจะใช้ศักยภาพทั้งหมดทั้งปวงของผมหลอมเป็นเนื้อเดียวกับพรรค เพื่อเชื่อมประสานกับงานการภาคประชาชน ในการที่จะเดินหน้าเปลี่ยนแปลงประเทศให้หลุดจากวงจรอำนาจอุบาทว์นี้
นี่คือหนทางสุดท้าย และจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ถึงมาดแม้นจะแพ้หรือชนะ ผมก็จะทำงานทางการเมืองต่อไป ตราบใดที่มีลมหายใจอยู่ เพราะชีวิตนี้ผมพลีให้กับประชาชนแล้ว...”