เมืองไทย 360 องศา
ในที่สุดเมื่อฟังจากปากของรองนายกฯฝ่ายกฎหมาย นายวิษณุ เครืองาม ที่ยืนยันล่าสุดแล้วว่า ร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ หรือที่เรียกกันว่า กฎหมายปฏิรูปตำรวจจะไม่ทันพิจารณาในรัฐบาลชุดนี้แล้ว เพราะเลยเส้นตายที่กำหนดให้การนำเสนอร่างกฎหมายที่เหลือตกค้างอยู่เข้าสู่การพิจารณาเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้าย เพราะต้องเผื่อเวลาไว้สำหรับการพิจารณาในขั้นตอนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในช่วงต้นปีหน้าก่อนที่จะยุติการพิจารณากฎหมายทุกฉบับตามกฎหมาย
สรุปก็คือ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเอาไว้เป็นเส้นตายในการเสนอร่างพระราชบัญญัติเมื่อวันที่ 25 ธันวาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่า ในร่างกฎหมายหลายฉบับที่เร่งส่งกันเข้ามาให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติก่อนนำเสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติก็ไม่มีร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติเข้ามาตามคาดหมาย หรือตามที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้
ข้ออ้างในเรื่องที่ต้องรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย ตามขั้นตอน จนทำให้ นายวิษณุ บอกว่าทำให้เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ทัน ก็อาจเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่หากพิจารณากันอีกมุมหนึ่งในยุครัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแบบนี้เพียงแค่ส่งสัญญาณอะไรบางอย่างออกมามันก็สามารถเดินหน้าได้เต็มตัว นอกเหนือจากว่ามีเจตนา “เตะถ่วง” หรือไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาตั้งแต่ต้น
จะด้วยสาเหตุหลายประการ เช่น ยังจำเป็นต้องใช้ “ระบบตำรวจ” ในยุคปัจจุบัน อย่างน้อยก็ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ยังต้องใช้กลไกของตำรวจเพื่อหลีกเลี่ยงแรงกระเพื่อมจาก “คลื่นใต้น้ำ” ที่อาจเกิดขึ้นจนเกิดความเสี่ยงที่ตามมาหรือไม่
เพราะจะว่าไปแล้วเรื่องการ “ปฏิรูปตำรวจ” ถือว่าเป้าหมายหลักที่เป็น “ความต้องการอย่างยิ่งยวด” ของชาวบ้านส่วนใหญ่ นอกเหนือจากเรื่องการปฏิรูปการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมาได้รับความเจ็บปวดและความไม่เป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ไม่ดีบางคน อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจถือว่าเป็นกระบวนการยุติธรรมต้นทาง สัมผัสใกล้ชิดกับชาวบ้านตั้งแต่ต้น
สิ่งที่ชาวบ้านต้องการให้เกิดการปฏิรูปก็มีเป้าหมายเพียงแค่ต้องการให้มีการสร้างหลักประกันความยุติธรรม มีการระบบการถ่วงดุลตรวจสอบการทำงานอย่างโปร่งใส สร้างระบบให้ตำรวจน้ำดีที่ตั้งใจทำงานได้รับการดูแลให้สมเกียรติ มีความก้าวหน้าตามที่ควรจะเป็น รวมไปถึงการมีสวัสดิการ และมีอุปกรณ์ที่ดีและพร้อมในการปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน ซึ่งระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมันไม่พร้อม ยังมีช่องโหว่ ไม่มีหลักประกันเพียงพอ
เพราะแม้ว่าระดับผู้บริหารในยุคปัจจุบันอาจจะใช้ได้ ไม่ได้เลวร้ายนัก อาจสามารถพึ่งพึงได้บ้าง แต่ปัญหาก็คือเมื่อหมดยุคนี้ หรือผู้บริหารพวกนี้ต้องพ้นจากหน้าที่จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม มันก็เกิดความเสี่ยงขึ้นมาอีก นั่นคือเสี่ยงทั้งการ"ถูกแทรกแซง"จากฝ่ายการเมืองที่เคยเป็นมาในอดีตหรือที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจาก"กลุ่มอำนาจใหม่" ซึ่งเชื่อว่าชาวบ้านไม่ต้องการให้สภาพแบบนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป
ที่ผ่านมา คณะกรรมการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้หากเรียกกันง่ายๆ ก็คือ ยกร่างกฎหมายปฏิรูปตำรวจนั่นแหละ และถือว่าเป็นคณะกรรมการชุดใหญ่ที่ครบเครื่องมากที่สุดชุดหนึ่ง เพราะมีครบหมดอยู่ในนั่นแบบ “ครบวงจร” ทั้งตำรวจ กฤษฎีกา และผู้มีประสบการณ์เรียกว่าล่วน “ขั้นเทพ” กันทั้งนั้นและก่อนหน้านั้น มีการแถลงความคืบหน้าหลังจากได้พิจารณากันมาเป็นระยะจนกระทั่งเสร็จสิ้น แม้ว่าอาจจะไม่ได้พอใจกันเต็มร้อย แต่ก็ถือว่าในหลักการใหญ่โอเคใช้ได้ทีเดียว
จากนั้นก็เข้าสู่การพิจารณาตามขั้นตอน คือ การรับฟังความเห็นจากหน่วยงาน แม้จะต้องใช้เวลาบ้าง แต่หากระดับนโยบายคือทั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องการผลักดันเพื่อสร้างผลงานให้เกิดความพึงพอใจให้กับชาวบ้าน เรียกว่าหากให้ “เต็มที่” เชื่อว่าทุกอย่างต้องเดินหน้าฉลุย สามารถเข้าสู่สภานิติบัญญัติผ่านออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้เป็นของขวัญให้กับประชาชนไปแล้ว
แต่เมื่อผลออกมาแบบนี้ มันก็ทำให้เข้าใจได้ว่า “บิ๊กตู่” ไม่ได้มีเจตนาในการปฏิรูปตำรวจในระดับโครงสร้างมาตั้งแต่ต้น การตั้งคณะกรรมการชุดโน่นนี่นั่น เป็นเพียงยื้อเวลา เตะถ่วงหลังจากที่เกิดกระแสกดดัน เหมือนกับการตั้งคณะกรรมการชุด นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ก็ทำนองเดียวกัน เหมือนกับ"ปาหี่"เสียเวลาเปล่า แล้วนี้จะไม่ให้กองเชียร์ผิดหวังได้อย่างไร
เพราะเรื่องสำคัญเร่งด่วนในใจชาวบ้านกลับไม่ทำให้สำเร็จ กลับไปทำเรื่องอื่น แม้ว่าจะสำคัญไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่บางเรื่องก็ต้องทำให้ปรากฏเสียก่อนเพื่อสร้างความรู้สีกที่ดี ไม่ใช่หรือ!!