กฤษฎีกา เปิดช่องแก้ 5 กฎหมาย ฟันวินัยราชการ ที่ชิ่งลาออกจากราชการ หวังหลุดพ้นความผิด หรือ ที่พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งกรณีถูกกล่าวหา ถูกฟ้องอาญา หรือต้องหาคดีอาญาก่อนออก ให้มีผลทางวินัยเสมือนยังไม่ได้ออก ให้สั่งลงโทษภายใน 3 ปี ให้เริ่มสอบสวนภายใน 1 ปีนับแต่วันออก หากความผิดปรากฏชัดแจ้งให้ฟันวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนได้ทันที พร้อมกำหนดขั้นตอนเพิกถอนคำสั่งลงโทษหากพบไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีการกลั่นแกล้ง แต่ให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปีนับแต่วันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือองค์กรพิจารณาอุทธรณ์มีคำสั่งลงโทษทางวินัย หรือองค์กรตรวจสอบรายงานถึงที่สุดหรือมีมติให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษ พร้อมให้อำนาจ ป.ป.ช.-ป.ป.ท. ชี้มูลงดลงโทษกรณีกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง
วันนี้ (30 พ.ย.) แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2 ) ได้รายงานผลการพิจารณาการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายการดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะดำเนินการทางวินัย กับข้าราชการที่ลาออกจากราชการ ที่หวังจะทำให้หลุดพ้นจากความผิด เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
โดย กฎหมายการดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย กรณีที่มีการกล่าวหาหรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาไว้ก่อนออกจากราชการ ให้ดำเนินการทางวินัยต่อไปได้เสมือนว่าผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ แต่ต้องสั่งลงโทษภายใน 3 ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ
กรณีที่มีการกล่าวหาหรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาภายหลังจากที่ออกจากราชการแล้ว ให้ดำเนินการทางวินัยต่อไปได้เสมือนว่าผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ แต่ต้องเริ่มดำเนินการสอบสวนภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ และต้องสั่งลงโทษภายใน 3 ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ แต่ในกรณีที่เป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งซึ่งสามารถดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนก็ได้นั้น จะต้องสั่งลงโทษภายใน 3 ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ
กรณีที่มีการเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่ผู้ที่ออกจากราชการไปแล้ว เพราะเหตุกระบวนการดำเนินการทางวินัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยให้แล้วเสร็จภายใน 2 ปีนับแต่วันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษ หรือองค์กรพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย หรือองค์กรตรวจสอบรายงานการดำเนินการทางวินัยมีคำวินิจฉัยถึงที่สุดหรือมีมติให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษ แล้วแต่กรณี
กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) หรือ มีมติชี้มูลความผิดผู้ซึ่งออกจากราชการแล้ว การดำเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษแก่ผู้นั้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือกฎหมายว่าด้วยมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
ทั้งนี้ การดำเนินการทางวินัยที่ส่วนราชการดำเนินการเองหรือดำเนินการตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการ ป.ป.ท. ชี้มูลความผิด ถ้าปรากฏว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงก็ให้งดลงโทษ
จากนั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จะร่วมกับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาวางแนวทางเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือข้อบังคับ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับข้าราชการฝ่ายพลเรือน
มีรายงานว่า สำหรับกฎหมาย ที่จะมีการแก้ไขปรับปรุงเพื่อดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ ประกอบด้วย 1.ร่างพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฉบับที่..) พ.ศ. ,ร่างพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการรัฐสภา (ฉบับที่..) พ.ศ... ,ร่างพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางกาศึกษา (ฉบับที่..) พ.ศ... ,ร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่..) พ.ศ.. ,และร่างพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการะลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา (ฉบับที่..) พ.ศ.. ซึ่งร่างทั้ง 5 ฉบับผ่านการพิจารณาจาก สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว.
อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตจาก คณะกรรมการข้าราชการฝ่ายศาลปกครอง ว่า ไม่ควรกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยตามที่ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. มีมติชี้มูลความผิดไว้ในร่าง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฉบับที่..) พ.ศ. ซคางประเด็นนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 2 ) ได้เคยพิจารณาแล้วเห็นว่า การระบุบัญญัติดังกล่าวก็ก่อให้เกิดความชัดเจนและแก้ไขปัญหาการบังคับใช้กฏหมายในการปฏิบัติที่ผ่านมา
"ที่มีการตีความว่า การพิจารณาโทษทางวินัยตามมติของ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. จะกระทำได้เพียงใดและอย่างใดย่อมเป็นไปตามกฎหมายหรือระเบัยบหรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นด้วย จึงมิได้แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของสำนักงานศาลปกครอง"
โดยจากนี้ไปหน่วยงานที่รับผิดชอบร่างพ.ร.บ.ทั้ง 5 ฉบับ จะจัดให้มีการรับฟังความเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ต่อไป.