xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กตู่” จัดเต็มมัดจำคนจนกว่า 14 ล้าน-ฝ่ายตรงข้ามจุกอกมองตาปริบๆ !!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย 360 องศา

เรียกว่าคลอดออกมาได้จังหวะเวลาพอดีทีเดียวสำหรับแพกเกจช่วยเหลือ “คนจน” หรือที่เรียกให้สวยงามว่าผู้มีรายได้น้อย ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมาตรการที่ออกมาล่าสุดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นั้น จะเป็นแบบการ “ช่วยเหลือเพิ่มเติม” จากเดิมที่ผู้มีรายได้น้อยได้รับอยู่แล้วให้ได้รับเพิ่มขึ้นหรือครอบคลุมมากขึ้น รวมไปถึงเป็นการจ่ายในลักษณะของ “เงินโบนัส” ในช่วงสิ้นปี สำหรับผู้สูงอายุเพิ่มเติมอีกด้วย

จากการแถลงของฝ่ายรัฐบาลสรุปว่าเงินที่นำมาใช้สำหรับมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวคิดเป็นวงเงินรวมกว่า 1.23 แสนล้านบาท สำหรับช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการแห่งรัฐ ข้าราชการบำนาญ และผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง

อย่างไรก็ดี หากแยกออกเป็นส่วนๆ จะพบว่าสำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีวงเงินดำเนินการทั้งสิ้น 3.87 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย 4 มาตรการ

ได้แก่ 1. มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งจะส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยมีภาระค่าครองชีพลดลง โดยกำหนดให้กรณีค่าไฟฟ้าให้ใช้ไฟฟ้าในวงเงินไม่เกิน 230 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน กรณีน้ำประปา ให้ใช้ได้ในวงเงินไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน โดยมาตรการดังกล่าวมีผลตั้งแต่ ธ.ค. 2561 ถึง ก.ย. 2562 รวมระยะเวลา 10 เดือน

โดยกลุ่มเป้าหมายสำคัญคือผู้ผ่านคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ทั้งหมด 14.5 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คิดเป็น 8.2 ล้านครัวเรือน โดย 1 ครัวเรือนใช้ได้เพียง 1 สิทธิเท่านั้น ในส่วนนี้มีวงเงินดำเนินการทั้งสิ้น 2.7 หมื่นล้านบาท

2. มาตรการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงปลายปีให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มเติมในเดือน ธ.ค. 2561 เป็นเงิน 500 บาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว) โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.5 ล้านคน โดยจะใช้วงเงินดำเนินการ 7.25 พันล้านบาท

3. มาตรการช่วยเหลือค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย จำนวน 1 พันบาทต่อคน (ได้รับครั้งเดียว) โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้มีรายได้น้อยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จำนวน 3.5 ล้านคน ระยะเวลาดำเนินการ ธ.ค. 2561 ถึง ก.ย. 2562 ใช้วงเงินดำเนินการทั้งสิ้น 3.5 พันล้านบาท

4. มาตรการช่วยเหลือค่าเช่าบ้านสำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อย จำนวน 400 บาทต่อคนต่อเดือน ระหว่างเดือน ธ.ค. 2561 ถึง ก.ย. 2562 สำหรับผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการ ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 2.2 แสนคน และคาดว่า จะเพิ่มเป็น 2.3 แสนคนในเดือน ก.ย.2562 โดยใช้วงเงินดำเนินการทั้งสิ้น 920 ล้านบาท

นั่นเป็นรายละเอียดที่ทำให้ได้รู้ว่ามีใครได้สิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือบ้าง จำนวนเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ผู้ที่มีรายได้น้อยและผู้สูงอายุจำนวน เกือบ 15 ล้านคน โดยจะได้รับสิทธิ์ช่วยเหลือไปจนถึงเดือนกันยายนปีหน้า แม้ว่าเงินในบางก้อนเช่นเงินสนับสนุนซื้อสินค้าในช่วงปลายปีจำนวน 500 บาท และค่าเดินทางไปรับการรักษาพยาบาลสำหรับผู้สูงอายุจำนวน 1 พันบาทจะได้รับครั้งเดียวก็ตาม ตามช่วงเวลาที่ระบุเอาไว้ดังกล่าว

เอาเป็นว่างานนี้ถือเป็น “แพกเกจ” จัดเต็มส่งท้ายปีของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงส่งท้ายปีและเป็นของขวัญปีใหม่ และแน่นอนว่า ไม่ต้องพูดมากก็รับรู้กันว่านี่คือ “มาตรการหาเสียง” ชุดใหญ่ โดยมีเป้าหมายก็คือ “คนจน” เกือบ 15 ล้านคนนั่นเอง

ที่ผ่านมา สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “บัตรคนจน” ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นที่ชื่นชอบและติดหูติดตาชาวบ้านมากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่ม “รากหญ้า” ทั่วประเทศมาอยู่แล้ว และคราวนี้ก็เป็นเพียงการเพิ่มวงเงินการช่วยเหลือเพิ่มเติมเข้าไปอีกหรือที่เรียกว่าเป็น “โบนัส” ปลายปีให้กับคนจนก็แล้วกัน

ขณะเดียวกัน เมื่อมีรายการแบบนี้ แน่นอนว่า จะต้องมีเสียงวิจารณ์ตามมาทำนองว่ามีจุดอ่อนโน่นนี่นั้น ใช้งบประมาณแบบประชานิยมเพื่อหาเสียง “ผลาญงบ” ร้อยแปดพันเก้า แต่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่สน ต้องเดินหน้าเก็บเกี่ยวคะแนนเสียงเอาไว้ ในเมื่อตัวเองมีอำนาจอยู่ในมือ และเมื่อพิจารณาจากช่วงจังหวะเวลามันก็ “ใช่เลย” คือ เริ่มจ่ายเงินลงไปตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนกันยายนปีหน้าเสียด้วย เป็นช่วงการเลือกตั้งเสียด้วยซีพี่น้อง

นอกเหนือจากนี้ ยังมีแพกเกจใหญ่สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง สวนปาล์มทั่วประเทศตามมาอีกชุดใหญ่ในช่วงเวลาเดียวกันเรียกว่าปูพรมกันทั่วประเทศ

งานนี้แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามทำนองว่าแก้ไม่ถูกจุดบ้าง ไม่ทันการณ์หรือไม่จริงจังมาตั้งแต่ต้นบ้างสารพัด แต่สำหรับเรื่องยางกับปาล์ม แม้จะมาช้าหรือจะถูกจุดหรือไม่ ก็ว่ากันไปแต่นับจากนี้เชื่อว่า “ลุงตู่” ต้องลงมากำกับเองแล้ว เพราะสำหรับรัฐบาลนี้ในเรื่องปัญหาราคาสินค้าเกษตรตัวหลักที่มีปัญหาอยู่แค่สองตัวนี้เท่านั้น เรื่องข้าวถือว่าผ่านไปได้แล้ว ดังนั้น ต้องเอาจริงต้องติดตามผลเป็นรายสัปดาห์แล้ว เพราะนี่คือฐานเสียงทั่วประเทศ

ดังนั้น ถือว่า “ลุงตู่” เริ่มจัดชุดใหญ่ มาในช่วงจังหวะสำคัญพอดี ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามได้แต่มองตาปริบๆ จะโวยวายมากน้กก็ได้ เพราะเดี๋ยวจะถูกกล่าวหาว่าขัดขวางเงินช่วยเหลือคนจนไปอีก จะไปกันใหญ่ ขณะเดียวกัน หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่า เขาเริ่มขยับหนักขึ้นแบบถี่ยิบ อย่างวันนี้ (22 พฤศจิกายน) ก็มีคิวลงพื้นที่ในกรุงเทพฯดูแลความคืบหน้าเกี่ยวกับการแก้ปัญหาจราจร ถึงได้บอกว่าอย่าประมาทเป็นอันขาด !!


กำลังโหลดความคิดเห็น