xs
xsm
sm
md
lg

“ตู่-จตุพร” วันที่เลือกยืนด้วยลำแข้งจะก้าวข้าม “ทักษิณ”!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย 360 องศา




หากเทียบวันนี้กับเมื่อตอนปี 2552 หรือ 2553 ในช่วงที่กลุ่ม นปช. หรือ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ที่เป็นกลุ่มมวลชนทางการเมืองที่เริ่มจัดตั้งและเริ่มมีบทบาทตั้งแต่นั้นมา หลังจากก่อตั้งเมื่อราวปี 2550 หลังการรัฐประหารรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เมื่อปี 2549

จากนั้นกลุ่มมวลชนการเมืองกลุ่มนี้ ก็เติบใหญ่ เนื่องจากแฝงไปด้วยฐานมวลชนที่เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทยต่อเนื่องมาทุกพรรคจนถึงพรรคเพื่อไทยของครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร ที่ชื่นชอบนโยบายประชานิยม สรุปง่ายๆ ก็คือ มวลชนหลักของกลุ่มนี้ คือ กลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลและพรรคของ ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นชื่อพรรคใดหรือจะให้ใครมาเป็นผู้นำก็ตาม

อย่างไรก็ดี หากโฟกัสเฉพาะ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ถือว่าเป็นแกนหลักสำคัญในกลุ่ม นปช. คนหนึ่ง นาทีนี้ถือว่า “น่าสนใจ” และน่าจับตากว่าใคร เพราะนอกเหนือจากเรื่องชะตาชีวิตที่โลดโผนกว่าใครในกลุ่มแล้ว มาในวันนี้เขากลับมี “แนวทาง” และปรับท่าทีโดยเฉพาะมีมุมมองทางการเมืองที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าในทางการเมืองจะต้องมองกันยาวๆ ที่เห็นในวันนี้อาจยังไม่ใช่ของจริง อาจเป็น “เรื่องหลอก” ให้ตายใจ หรืออีกฝ่ายหลงเชื่อ เพื่อให้ตัวเองไปถึงเป้าหมายที่วางเอาไว้ก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ยังถือว่าบทบาทของ จตุพร พรหมพันธุ์ นั้น ไม่ธรรมดาทีเดียว

เป็นที่รับรู้กันไปแล้วว่า จตุพร ถูกตัดสินจำคุก ไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำมาพักหนึ่ง และพ้นโทษออกมาแล้วในบางคดี แต่ก็ยังมีอีกหลายคดีที่กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาในศาล ซึ่งถือว่าเป็นคดีสำคัญมีอัตราโทษสูง ซึ่งก็เหมือนกับอีกหลายคนที่เป็นแกนนำของกลุ่มมวลชน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนก็ตาม และแม้ว่าจะยังต้องใช้เวลาในการพิจารณาคดีกันอีกพักใหญ่ แต่มันก็เหมือนกันมีพันธนาการเคลื่อนไหวไม่สะดวก

แต่ที่พิเศษแตกต่างไปจากแกนนำ นปช. อีกหลายคนที่เป็นแกนนำหลัก เช่น เมื่อเปรียบเทียบกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เนื่องจากนาทีนี้ จตุพร กำลังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองถึง 10 ปี ไม่สามารถเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงโดยเฉพาะการลงสมัคร ส.ส. หรือรับตำแหน่งทางการเมืองก็ยาวไป

อย่างไรก็ดี จากการใช้ชีวิตอยู่ในคุกระยะหนึ่ง ซึ่งในนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง มีการพบปะพูดคุยกับใครบ้าง มีการบอกเล่าออกมาเป็นระยะ แต่มีแต่เขาเท่านั้นที่รู้ แต่พลันที่เขาเดินออกมาจากเรือนจำ ออกมาข้างนอก กลับมีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยทัศนคติในทางการเมืองก็เปลี่ยนไป นั่นคือ มีมุมมองที่ “ประนีประนอม” ในทำนองที่ว่าพร้อมที่จะร่วมกับทุกฝ่ายด้วยการใช้คำว่า “เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า”

จากความเคลื่อนไหวล่าสุด ก็มีการแสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจกันระหว่าง จตุพร พรหมพันธุ์ กับ “อดีตพระพุทธะอิสระ” ถึงขนาดเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนยอมเปิดใจยอมรับอีกฝ่าย โดยจับคำพูดบางตอนของจตุพร ที่ว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีฝ่ายใดถูกหรือผิดทั้งหมด ทุกคนมีส่วนทำให้เกิดขึ้น แต่หนทางข้างหน้า เราต้องเอาเรื่องของชาติบ้านเมืองเป็นหลักมากกว่าเรื่องของตัวเอง”

ก็ต้องบอกว่าแทบจะไม่เชื่อว่า นี่คือ คำพูดของ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่เมื่อก่อนฝ่ายตรงข้ามทั้งโกรธทั้งเกลียด แต่มาวันนี้กลับมีท่าทีที่ดูแล้วอ่อนลง มีการประนีประนอมมากขึ้นจนน่าแปลกใจ

อย่างไรก็ดี หากให้วิเคราะห์ท่าทีดังกล่าวของ จตุพร พรหมพันธุ์ อาจจะมาจากส่วนลึกในใจของเขาก็ได้ เพราะหลังจากที่ต้องเดินเข้าคุก และมีเวลาครุ่นคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาอาจได้ค้นพบอะไรบางอย่างก็ได้

แน่นอนว่า หากเปรียบเทียบกันแบบ “สั้นๆ” ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อน ระหว่างเขากับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. อีกคนหนึ่งที่จะว่าไปแล้ว “กระดูก” หรือชื่อชั้นต่างกันลิบ จตุพร เริ่มเคลื่อนไหวการเมืองระดับชาติมาตั้งแต่ยุคเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เคยร่วมต่อสู้กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในครั้งนั้นเขาเริ่มฉายแววนักปราศรัยให้โดดเด่นมาแล้ว ขณะที่ ณัฐวุฒิ ยังเป็นวุ้น และเพิ่งมาร่วมใน “สภาโจ๊ก” โปกฮาทางจอทีวี เรียกว่าคนละระดับ

แต่ด้วยลีลาและท่าทีทำให้เส้นทางของทั้งสองคนต่างกันยังกะฟ้ากะเหว ณัฐวุฒิ ได้รับบำเหน็จเป็นถึงรัฐมนตรีในกระทรวงเกรดเอ เริ่มจาก รมช.เกษตรฯ จนมาถึง รมช.พาณิชย์ และไม่เคยติดคุก ไม่เคยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ว่ากันว่า ในยุคที่ ณัฐวุฒิ เป็นรัฐมนตรี เขาได้สร้างเครือข่าย บารมีเอาไว้ไม่น้อย ประเภทที่ว่ามีข้าราชการหลายคนหลายตำแหน่ง ทั้งตำรวจและพลเรือนในหลายกระทรวงเติบโตขึ้นเพราะเขา ขณะที่ จตุพร สูงสุดก็เพียงแค่ตำแหน่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อ กับศัตรูรอบทิศทาง

อย่างไรก็ดี มาถึงวันนี้มาถึงจุดที่ต้องจับตามองกันอีกครั้ง ว่า อนาคตของสองคนนี้ รวมไปถึงแกนนำ นปช. คนอื่นๆ จะไปทางไหน โดยเฉพาะในช่วงการเมืองยุคใหม่ ภายใต้กฎกติกาใหม่ ในการเลือกตั้งใหม่

แน่นอนว่า สำหรับ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่แม้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 10 ปี และแยกตัวออกมาจากพรรคเพื่อไทย มาร่วมก่อตั้งพรรคเพื่อชาติ ร่วมกับ ยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ถูกตัดสิทธิ์การเมืองเหมือนกัน โดยลักษณะแบบ “ผู้สนับสนุน” พรรค โดยในช่วงแรกอาจถูกมองว่าเป็นพรรคสาขาของพรรคเพื่อไทย แต่เมื่อเกิดพรรค “ไทยรักษาชาติ” ที่เต็มไปด้วย “ลูกท่านหลานเธอ” ในครอบครัวชินวัตร และอดีต ส.ส.ขาใหญ่ ในพรรคเพื่อไทย ที่ถูกเกลี่ยกันมา หรือ “อยู่ร่วมกันไม่ได้” ก็เฮโลกันมา

ทำให้ภาพของพรรคเพื่อชาติ ที่จตุพร สนับสนุน ต้องแยกออกไปอย่างชัดเจน หากไปเปรียบเทียบกับ “พรรคเพื่อธรรม” ที่มีสองผัวเมีย สมชาย-เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เป็นคนผลักดัน

ดังนั้น หากให้สรุปอีกทีสำหรับพรรคเพื่อชาติ นาทีนี้ก็เป็นได้แค่ “แนวร่วม” ของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคในเครือญาติที่เป็นพรรคสาขาอย่างพรรคไทยรักษาชาติ หรือแม้แต่พรรคเพื่อธรรม

และหากพรรคเพื่อชาติ ยืนระยะได้นานก็จะยิ่งห่างออกไป เพราะแม้ว่าในระยะแรกอาจต้องใช้ฐานมวลชนสนับสนุนจากกลุ่มเดียวกับที่เคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยมาก่อน แต่จะโฟกัสไปที่กลุ่ม นปช. ที่มีสายสัมพันธ์ที่มีความนิยมชมชอบส่วนตัวกันมานาน และบางทีอาจต้องถึงเวลาที่ต้อง “แยกกันเดิน” ของจริงแล้ว ขณะเดียวกัน ด้วยท่าทีใหม่ของ จตุพร พหมพันธุ์ ที่เปิดรับกับทุกกลุ่มเพื่อพยายามขยายฐานปรับทิศทางให้กว้างในระยะยาว

แม้ว่าตอนนี้เป็นช่วงที่เขาถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ขณะเดียวกัน ก็เป็นช่วงเวลาที่เขาได้เลือกเส้นทางเดินทางการเมืองในระยะยาวแล้วเหมือนกัน เพื่อ “ยืนบนลำแข้ง” ตัวเอง และถึงเวลาที่ต้องปรับตัวให้ “ก้าวข้ามทักษิณ ชินวัตร” ก่อนใครก็ได้

ขณะที่แกนนำ นปช.คนอื่น อย่างเช่น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เวลานี้ยังละล้าละลัง จะอยู่ที่เดิมก็ลำบาก หาทางเบียดลงสมัคร ส.ส.เขต ได้ยาก ขณะเดียวกัน หากโยกมาพรรคไทยรักษาชาติ ก็เต็มไปด้วย “ไฮโซ” รุ่นเล็กรุ่นใหญ่ เต็มพรืดไปหมด และครั้นจะหันมาที่พรรคเพื่อชาติ ก็หมางเมินกันมาตั้งแต่ต้น ขยับเดินหน้าถอยหลังลำบาก

ดังนั้น หากให้สรุปในเวลานี้ คนที่จับตาที่สุดสำหรับพวก นปช. ก็น่าจะเป็น จตุพร พรหมพันธุ์ เท่านั้นที่ไม่มีอะไรจะเสีย และค้นพบเส้นทางข้างหน้าด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องรอดูว่าเขาจะไปได้สักกี่น้ำเท่านั้นเอง !!


กำลังโหลดความคิดเห็น