xs
xsm
sm
md
lg

“หมอวรงค์” เร่งเครื่องประกาศเปลี่ยนอุดมการณ์ ปชป. ซัด “มาร์ค” จุดอ่อนพรรค

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


“หมอวรงค์” นำทีมประกาศเปลี่ยนอุดมการณ์ ปชป.จากเสรีนิยมประชาธิปไตย เป็น “ประชาธิปไตยสวัสดิการ” เหตุล้าสมัย นำไปสู่การผูกขาด ระบุชนะศึกเตรียมโละ ส.ส.เก่า ส่งเสริมคนใหม่ผ่านระบบไพรมารีโหวต ชี้ “มาร์ค” คือจุดอ่อนของพรรค

วันนี้ (25 ต.ค.) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ผู้สมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกลุ่มเพื่อนหมอวรงค์ นำโดยนายถาวร เสนเนียม ร่วมกันแถลงจุดยืนและแสดงวิสัยทัศน์ในการบริหารประเทศ

นพ.วรงค์ได้กล่าวถึงนโยบายเร่งด่วนที่จะดำเนินการ โดยประกาศยึดแนวทาง “ประชาธิปไตยสวัสดิการ” ไม่เห็นด้วยกับ “เสรีประชาธิปไตย” เพราะได้รับการพิสูจน์แล้วว่านำไปสู่การผูกขาด ปลาใหญ่กินปลาเล็ก และรวยกระจุก จนกระจาย หน้าที่ของเราต้องนำพาประชาชนเดินไปพร้อมๆ กัน และวางนโยบายเร่งด่วน 2 ข้อ คือ เรื่องการบริหารจัดการภายในพรรค หากได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคจะทำให้เห็นผลภายใน 2 สัปดาห์คือ การคัดเลือกผู้สมัครจะให้สิทธิ ส.ส.เก่า แต่จะให้ความเป็นธรรมแก่ผู้สมัครที่ต้องการแข่งขัน เช่น จังหวัดชุมพร เราเคารพสิทธิ ส.ส.เก่าแต่ถ้ามีผู้สมัครหน้าใหม่ที่มีศักยภาพจะใช้ระบบไพรมารีโหวตให้สมาชิกในพื้นที่ตัดสิน ไม่ได้บ่งบอกว่าใครเป็นเด็กหรือเป็นคนของใคร เพราะสมาชิกพรรคเป็นคนตัดสิน โดยไม่ได้มีการล้างบางคนอดีต ส.ส.ที่ไม่หนุนตนอย่างที่มีบางคนเข้าใจ และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการเปลี่ยน ส.ส.ชุมพรยกจังหวัด แต่จะให้สมาชิกพรรคเป็นคนตัดสิน บนหลักการว่าพื้นที่ไหนที่มีการลดจำนวน ส.ส. หรือมีการแข่งขัน เช่น พังงา มี ส.ส.แข่งกัน ถ้าตกลงกันได้ก็จบ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ผู้บริหารไม่ควรตัดสิน แต่จะให้สมาชิกพรรคตัดสิน

นอกจากนี้จะเชิญประชุมประธานสาขาทั้งประเทศให้รับทราบทิศทางการนำพาพรรคและบทบาทการกระจายอำนาจไปยังประธานสาขาให้มีบทบาท อำนาจ หน้าที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้ประชาธิปัตย์แข็งแกร่งขึ้น และจะสร้างให้พรรคประชาธิปัตย์สัมผัสได้ เข้าถึงง่าย ไม่ใช่เอื้อมไม่ถึง และวันใดที่ตนมีอำนาจในรัฐบาลมีสิ่งที่จะดำเนินการให้เห็นผลภายในสามเดือน คือ ปัญหาปากท้องประชาชนให้คนจน เกษตรกรมีเงินในกระเป๋า ซึ่งจะเป็นต้นทางการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรตกต่ำ ทั้ง ปาล์ม ยางพารา และข้าว ทั้งนี้จากการพบประชาชนพบว่าเสรีนิยมทำให้เกิดการผูกขาด หากมีอำนาจจะทำลายการผูกขาดตรงนี้ โดยจะทำให้ได้ภายใน 3 เดือน

ส่วนจุดยืนทางการเมืองนั้นต้องการให้การเมืองประเทศมีเสถียรภาพ โดยตนตั้งตัวเป็นตัวหลักมีจุดยืนทางการเมือง 4 ประการ คือ 1. ไม่จับมือกับพรรคการเมืองที่ถือว่าการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องปกติ 2. จะร่วมมือและทำงานร่วมกับทุกพรรคการเมืองที่เคารพกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ 3. จะต่อต้านพรรคการเมืองที่ใช้อำนาจไม่ชอบ ใช้เสียงข้างมากเพื่อประโยชน์ส่วนตน และ 4. ระบอบประชาธิปไตยของแต่ละประเทศเป็นอัตลักษณ์ของแต่ละประเทศ จึงประกาศชัดเจนว่าประชาธิปัตย์จะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น พรรคการเมืองใดมีพฤติกรรมจาบจ้วงถือว่าเป็นศัตรูกับพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าตนชนะเลือกตั้งจะเอาคนที่มีจุดยืนตรงกันมาร่วมงาน แต่ถ้าแพ้เลือกตั้งก็ต้องยืนหยัดสี่ประเด็นนี้เช่นเดียวกัน

“ผมเป็นคนไม่ยึดติด หากได้เป็นหัวหน้าพรรค แม้ชนะเลือกตั้ง แต่ถ้าผลงานออกมาไม่ดีถูกวิจารณ์ คะแนนนิยมตกต่ำ ผมไม่อยู่ ต้องเปิดโอกาสให้คนใหม่มาทำหน้าที่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้หมายถึงการลาออกจากหัวหน้าพรรคทันที หากผลงานไม่ดีเพราะมีวาระ 4 ปี ผมเพิ่งเข้ามาลองไป ถามคนที่อยู่มา 13 ปีจะดีกว่า และไม่ขอตอบว่าหากได้เป็นหัวหน้าพรรคแต่แพ้เลือกตั้งจะออกจากตำแหน่งหรือไม่”

ด้านนายถาวรระบุว่า สาเหตุที่ความนิยมประชาธิปัตย์ลดลงเป็นเพราะมีภาพลักษณ์ไม่ก้าวหน้า ไม่มีอะไรใหม่ ประกอบกับผลโพลล่าสุดพบว่าผู้นำประชาธิปัตย์ได้รับความนิยมลดลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับผู้นำพรรคอื่น พวกตนจึงกล้าเปลี่ยนเพื่อประชาชน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเราถูกมองว่าเป็นพรรคอนุรักษนิยมซึ่งเป็นความจริง ดังนั้น การกำหนดจุดยืนและแนวนโยบาของพรรคต้องตรงกับสถานการณ์ การที่พรรควางแนวทางเสรีนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเคยได้ผลในการต่อสู้กับเผด็จการ ใช้ไม่ได้กับสถานการณ์ปัจจุบัน เองจากการเมืองไม่ได้แบ่งขั้วสุดโต่งเป็นซ้ายหรือขวาอย่างในอดีต ขณะเดียวกันแนวทางเสรีนิยมทำให้เกิดปรากฏการณ์ “รวยกระจุก จนกระจาย” อีกทั้งประชาชนต้องการประชาธิปไตยที่กินได้ จับต้องได้ “เสรีนิยม” จึงล้าสมัยไปแล้ว ซึ่งนายแพทย์วรงค์ได้จดตั้งกลุ่มขึ้นมาแสดงความกล้าเปลี่ยนจุดยืนเสรีนิยมประชาธิปไตยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยสวัสดิการ และจะดูแลสังคมให้เท่าเทียมภายใต้ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย

นอกจากนี้ กลุ่มกล้าเปลี่ยนจะต่อต้านแนวคิดมาร์กซิสม์ ที่พรรคการเมืองบางพรรคยึดแนวทางนี้เป็นวิธีสุดโต่งที่จะล้มล่างสถาบันพระมหากษัตริย์โดยอ้างเรื่องชนชั้น ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยลืมมองย้อนไปว่า องค์พระประมุขของประเทศต้องมีกฎหมายคุ้มครองดูแลไม่แตกต่างจากประเทศอื่น แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็มีกฎหมายคุ้มครองประธานาธิบดี หากใครดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทจะมีโทษสูงกว่าการหมิ่นประมาทคนธรรมดา ดังนั้น กลุ่มกล้าเปลี่ยนจะชี้แจงให้เห็นถึง “พิษภัยใหม่” โดยคนกลุ่มที่มีแนวคิดแบบนี้จะเป็นศัตรูกับเรา เพราะกลุ่มกล้าเปลี่ยนเทิดทูนพระมหากษัตริย์ จะไม่ยอมให้แก้กฎหมายอาญา มาตรา 112 เด็ดขาด

ด้านนายสมบัติ ยะสินธ์ อดีต ส.ส.แม่ฮ่องสอน กล่าวว่า พรรคมีจุดอ่อ่นอยู่ที่ภาคเหนือกับภาคอีสานที่แพ้มาโดยตลอด โดยกระแสพรรคตกเพราะนโยบายไม่ทันกับสถานการณ์ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับพรรคคู่แข่งได้ อีกทั้งความนิยมของหัวหน้าตกอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นหนึ่งในจุดอ่อนของพรรค ทั้งนี้ มีการสอบถามความเห็นประชาชนก็ต้องการผู้นำที่ซื่อสัตย์ จึงได้ขอให้ นพ.วรงค์ ที่มีผลงานปราบโกงจำนำข้าว มาชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยเชื่อว่าจะเป็นการเสริมจุดแข็งของพรรคให้ได้รับความนิยมในพื้นที่ภาคเหนือและทำให้พรรคประชาธิปัตย์เข้มแข็งมากขึ้น

ขณะที่นายศุภชัย ศรีหล้า อดีต ส.ส.อุบลราชธานี ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้ประชาธิปัตย์ไม่ประสบความสำเร็จในภาคอีสานว่า เกิดจาก 2 สาเหตุ คือ 1. พรรคไม่ได้ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของคนอีสาน และ 2. ประชาธิปัตย์ในสายตาของคนอีสานจำนวนมาก รู้สึกว่าห่างไกล ไม่ใกล้ชิด เกิดจากความพ่ายแพ้และไม่มีตัวแทนในพื้นที่ปฏิบัติงานให้พรรคอย่างยาวนาน ดังนั้น การจะชนะเลือกตั้งได้ต้องได้ ส.ส.พื้นที่ภาคอีสานในจำนวนที่มากพอ ตนอยู่พรรคมานับสิบปี รู้สึกว่าที่นี่คือบ้านของตนจึงอยากทำให้ดีที่สุด และอยากเห็นบ้านหลังนี้เป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยเชื่อว่า นพ.วรงค์คือคนที่เหมาะสมจะนำพรรคต่อไป

ส่วนนายวิชัย ล้ำสุทธิ อดีต ส.ส.ระยอง กล่าวว่า ระบบการบริหารพรรคที่ผ่านมา ไม่ทั่วถึง การดูแลตัวแทน ส.ส.ของภาคตะวันออก มีการย้ายพรรค โดยมองเพียงว่า ส.ส.โดนพรรคอื่นดูดออกไป แต่เมื่อมีการพูดคุยกันแล้วก็พบว่า การบริหารที่ผ่านมา ส.ส.ที่มีความสามารถในการทำงานถูกละเลย ไม่ถูกเสริมให้มีความก้าวหน้าหรือแสดงความสามารถเท่าที่ควร ทำให้เกิดความอึดอัดและความห่างเหิน เหมือนเจ้านายกับลูกน้อง ไม่เหมือนเพื่อนร่วมงาน ทำให้ระบบบริหารภายในมีปัญหา อีกทั้งการบริหารในพื้นที่ไม่ได้มีการลงไปอย่างจริงจัง จึงอยากเห็นผู้นำของพรรคไปสัมผัสกับประชาชนโดยตรง รวดเร็ว ทันใจ นอกจากนี้ สิ่งที่หนักใจมากที่สุดสำหรับภาคกลาง และภาคตะวันออก คือเรื่องเลือดไหลไม่หยุด ที่ผ่านมาเราบอกว่าเขาหนีไป ถูกดูดไป แต่ไม่เคยมองตัวเองว่าปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไรในการบริหารงานที่ผ่านมา จึงต้องโทษตัวเองด้วย และต้องไม่ไล่ส่งเขาไป แต่ต้องไปเอาเขากลับมา วันนี้ นพ.วรงค์ กล้าเปลี่ยนเพื่อประชาชน
กำลังโหลดความคิดเห็น