เมืองไทย 360 องศา
รู้สึกแปลกใจเหมือนกันกับปฏิกิริยาของสังคมหลังจากคำพูดของ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ และ เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ “ไม่รับประกันว่าจะไม่เกิดการปฏิวัติเกิดขึ้นอีกในอนาคต” เพราะเมื่อไล่สำรวจตรวจสอบแล้วส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมามากมายเท่าใดนัก
ระดับแกนหลักๆ ในทางการเมืองล้วนเงียบเสียง ยังไม่มีการโต้ตอบหรือวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ออกมาให้เห็น จะมีก็เป็นประเภทเด็กๆ ที่ร้อนวิชาโหยหาประชาธิปไตย ในแบบเลือกตั้ง
หากให้ประเมินก็อาจจะเป็นเพราะพวกนักการเมืองระดับ “ขาใหญ่” ที่เงียบเสียงส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่อยากให้เข้าตัวเอง เปิดช่องให้ชาวบ้านเขาด่าฟรี โดยเฉพาะในช่วงใกล้นับถอยหลังเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว สิ่งที่ไหนที่ยังไม่ชัวร์อาจส่งผลกับอนาคตในวันข้างหน้าก็ไม่สมควรเสี่ยง
ขณะเดียวกัน เมื่อกลับไปพิจารณาจากคำพูดโดยเนื้อหาหลักๆ ของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ที่ผ่านมา ถ้าพิจารณากันตามความเป็นจริงมันก็เป็นการพูดไปตามหลักการ นั่นคือ หากไม่มีการ “สร้างเงื่อนไข” บ้านเมืองมีความสงบเรียบร้อย กลไกการตรวจสอบสามารถดำเนินการได้ตามปกติ มันก็คงไม่เกิดการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นก็ไม่มีทางสำเร็จ
“ผมมั่นใจว่า ถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจล ก็ไม่มีอะไร ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมา 10 กว่าครั้ง แต่ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะช่วงหลังเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น ผมไม่ได้บอกว่านักการเมืองดีหรือไม่ดี แต่เชื่อว่า นักการเมืองที่ดีก็มี และนักการเมืองที่ไม่ดีก็มี แต่ปัจจุบันคนไทยเป็นอย่างไร ผมเสียใจในหลายๆ เรื่อง ที่เห็นว่า กระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด การตัดสินคดีในหลายคดีกับคนทำความผิด บอกว่า ไม่เป็นธรรมและประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน อะไรเป็นกลาง อะไรคือจุดยืนของประเทศ ในเมื่อบอกคนนี้ผิด ก็แย้งว่าไม่ผิด ถูกแกล้ง แล้วจะอยู่อย่างไร ตนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันจะให้คนไทยอยู่กันอย่างไร โดยไม่มีกฎระเบียบวินัย”
นั่นคือคำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่กล่าวถึงสาเหตุหรือเงื่อนไขในการปฏิวัติในครั้งที่ผ่านมา โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ที่บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย และสาเหตุหากให้ยอมรับความจริงก็ต้องย้ำว่าเป็นเพราะพวกนักการเมืองเป็นต้นเหตุนั่นแหละ ทั้งการฉ้อฉล ใช้อำนาจมิชอบ ใช้พรรคพวกออกกฎหมายเพื่อลบล้างความผิดให้กับคนที่ทำผิดกฎหมายโดยอ้างประชาธิปไตยเสียงข้างมาก ด้วยการบริหารราชการแผ่นดินที่ไร้ธรรมาภิบาล มันก็เกินที่ชาวบ้านจะยอมรับได้
แน่นอนว่า หากจะบอกว่าเพื่อความเป็นธรรมจะโทษนักการเมืองฝ่ายเดียวไม่ได้ ต้องหมายรวมถึงฝ่ายอื่นด้วย ก็อยากถามว่าคือฝ่ายไหน เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนที่สุดก็ล้วนมาจากนักการเมืองทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน หากรัฐบาลทหาร คสช.ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการทุจริต ใช้อำนาจตามอำเภอใจจนเกินขอบเขต บ้านเมืองยังเกิดความวุ่นวาย หรือมีการข่มเหงรังแกชาวบ้านหนักข้อ มันก็คงไม่ได้ และคงไม่อาจอยู่มาได้ยาวนานถึง 4-5 ปีแบบนี้ แน่นอนว่า อาจมีข้อครหาเรื่องการทุจริต แต่เมื่อพิจารณาปฏิกิริยาอารมณ์จากสังคมรอบข้างแล้ว ก็ยังพอยอมรับได้ และเตรียมเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งกันตามระบบ ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า ทุกฝ่ายก็จดจ่อกันแบบนั้น
คำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่ยืนยันหนักแน่นว่ายอมไม่ได้กับพวกที่ “หมิ่นสถาบัน” ซึ่งก็เหมือนกับคนไทยส่วนใหญ่ที่ยอมรับไม่ได้ ซึ่งคนที่ถูกดำเนินคดีก็ล้วนมีสาเหตุจากการจาบจ้วงให้ร้าย ไม่ใช่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต อีกทั้งไม่มีความจำเป็นต้องไปแตะต้องสถาบัน หากคนพวกนั้นจะวิจารณ์โจมตีรัฐบาลหรือฝ่ายตรงข้ามก็ทำได้ เพราะเกินเลยก็จะถูกตอบโต้ด้วยการดำเนินคดีตามกฎหมาย หลักการก็ต้องเป็นแบบนี้
อีกเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือ คำพูดของผู้บัญชาการทหารบก ที่ย้ำว่า ต้องเคารพกระบวนการยุติธรรม และบ้านเมืองต้องยึดมั่นในกฎเกณฑ์ ไม่ใช่พอถูกตัดสินว่าผิดแล้วไปโวยวายว่าไม่ยุติธรรม หรือถูกกลั่นแกล้ง ซึ่งจะเป็นการส่งสัญญาณไปถึงใคร แม้จะไม่มีการเอ่ยชื่อใคร แต่หากติดตามสถานการณ์ย้อนดูแบ็กกราวนด์ก็ย่อมมองออกได้ไม่ยาก
ดังนั้น หากพิจารณาจากปฏิกิริยาหลังคำพูดของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่สังคมยังเงียบ และออกมาในโทนยอมรับกับคำพูดดังกล่าว เพราะเป็นหลักการความเป็นจริงที่เคยเห็นตำตาอยู่แล้ว อีกด้วยกระแสประชาธิปไตยที่นาทีนี้ชาวบ้านอาจจะเฉยๆ กว่าเดิมแล้วก็ได้ อาจเป็นเพราะไม่ได้ยึดมั่นในระบบ ไม่ว่าจะเผด็จการหรือประชาธิปไตยภายใต้กระแสสังคมยุคใหม่หากยังโกง เล่นพวกจนเหลือทน เชื่อว่า ชาวบ้านคงจัดการได้ไม่ยาก เพราะที่ผ่านมาถือว่าได้เรียนรู้และมีบทเรียนมามากพอสมควรแล้ว !!