ผบ.ทบ.เผยไม่รับประกันมีปฏิวัติรัฐประหารอีกหรือไม่ ชี้ถ้าการเมืองไม่เป็นสาเหตุของการจลาจลวุ่นวายก็ไม่มีอะไร เผย “บิ๊กตู่” ไม่ได้อยากทำ แต่สถานการณ์ทำให้ต้องตัดสินใจและอยู่ที่ประชาชน
วันนี้ (17 ต.ค.) เฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ “วาสนา นาน่วม” ผู้สื่อข่าวสายทหารโพสต์ข้อความระบุว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก เผยไม่รับประกันปฏิวัติรัฐประหาร ชี้ถ้าการเมืองไม่เป็นสาเหตุของการจลาจลวุ่นวาย ถ้ามันไม่เกิด มันก็ไม่มีอะไร พร้อมยก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้อยากทำ แต่ สถานการณ์ทำให้ต้องตัดสินใจ และการตัดสินใจนั้นไม่ได้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อยู่ที่ประชาชน
คำให้สัมภาษณ์ของ ผบ.ทบ.โดยละเอียด
พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก วาระพิเศษว่า ถือเป็นโอกาสแรกของตนในฐานะที่รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกได้มีการเชิญผู้บังคับหน่วยมาประชุมระดับผู้บังคับกองพันขึ้นไป เพื่อรับมอบนโยบาย ทั้งนี้เรื่องนโยบายของกองทัพ คงไม่เน้นย้ำอะไรมากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่จะเป็นนโยบายที่สืบสานต่อจาก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี และอดีตผู้บัญชาการทหารบก เนื่องจากตนได้มีโอกาสร่วมงานกับท่านในช่วงที่ผ่าน ซึ่งท่านใดสร้างความเข้มแข็ง แข็งแกร่งให้กับกองทัพ ถือเป็นนายทหารรบพิเศษที่เติบโตมาด้วยฝีมือแท้ๆ
ทั้งนี้ พล.อ.เฉลิมชัยได้วางรากฐานแนวทางที่แข็งแกร่งมั่นคงให้แก่กองทัพได้เป็นอย่างดียิ่ง ซึ่งตนได้มีโอกาสใกล้ชิดและเรียนรู้งาน หลายๆ อย่างการท่านจึงเป็นที่มาของการที่ท่านได้ตามแนวทาง Smart Man เมื่อมาถึงตน เป็น ผบ.ทบ.ก็มาเป็น smart Soldier และ Strong Army นั่นหมายความว่า 2 ปีข้างหน้ากองทัพบกจะมีความเข้มแข็ง แข็งแกร่งไปสู่รูปธรรมให้มากยิ่งขึ้น
พล.อ.อภิรัชต์กล่าวอีกว่า สถานการณ์ในอนาคตข้างหน้ากองทัพบกจะต้องเผชิญกับสถานการณ์หลายอย่างตามปฏิทินการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้านั้น กองทัพบกเตรียมการทำความเข้าใจของกำลังพล ที่สำคัญที่สุดผู้บังคับหน่วยจะต้องแยกแยะภารกิจให้ออก เราในฐานะกองทัพบกและเป็นทหารของชาติทหารของประชาชน มีหน้าที่อยู่แล้วที่จะสนองต่อนโยบายของรัฐบาล ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม นี่คือหน้าที่ของกองทัพ กองทัพต้องทำงานให้กับรัฐบาล เพราะฉะนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีเกิดขึ้น ตนได้ประชุมผู้บังคับหน่วยและเน้นย้ำในส่วนที่เป็นกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) ได้ให้แนวทางว่าต้องใช้ความระมัดระวัง
“จากนี้ไปก็ต้องถูกจับตา จับจ้องจากนักการเมือง ยอมรับว่าทหารขาดประสบการณ์เรื่องการเมือง
อาชีพทหาร เราอยู่ในกรม กอง โอกาสพบกับประชาชนมีน้อยมาก นอกจากออกไปช่วยเหลือประชาชนเมื่อเดือดร้อนและประสบภัยต่างๆเพราะฉะนั้นวิสัยทัศน์ที่จะไปเผชิญกับโลกภายนอกวิถีทางการเมืองลำบาก ผมจึงให้แนวทางของกองทัพ โดยเฉพาะ กกล.รส.เนื่องจากเราสวมหมวก 2 ใบ คือ ในฐานะกองทัพบกและในฐานะที่เป็น คสช. การเดินต่อไปนี้ต้องระมัดระวัง ไม่ให้การเมืองเข้ามาใช้ประโยชน์จากการช่วยเหลือประชาชน ยืนยันว่ากองทัพช่วยเหลือประชาชนเราไม่ได้หาเสียง” พล.อ.อภิรัชต์กล่าว และยืนยันว่า ทหารไม่มีความจำเป็นต้องหาเสียง เพราะไม่รู้จะหาเสียงไปเพื่ออะไร การช่วยเหลือประชาชนถือเป็นหน้าที่เป็นอาชีพของทหาร ไม่ได้ต้องการช่วยเหลือเพื่อให้ได้เสียงมา เราช่วยเหลือประชาชนมาโดยตลอดในทุกภารกิจ ในทุกครั้งที่ประชาชนเดือดร้อน นี่คือหน้าที่ของทหาร โดยอาชีพ โดยจิตสำนึก และจิตอาสา ในทางกลับกัน ตนอยากให้กำลังพลระมัดระวังการฉกฉวยโอกาสที่มองว่าการไปช่วยเหลือประชาชนของทหารนั้นเป็นการหาเสียง ขอย้ำว่าเราทำมานานแล้วและอยากให้ประชาชนได้รู้ว่าทหารช่วยเหลือประชาชนด้วยอาชีพด้วยใจ ไม่ได้หวังผลไม่ได้ต้องการ ให้มาเลือกคนที่ไปช่วยเหลือ แต่ช่วยเหลือตามแนวทางของรัฐบาล
พล.อ.อภิรัชต์ย้ำว่า ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลใดเราก็ต้องดำเนินการตามแนวทางที่รัฐบาลที่ได้กำหนดไว้ เช่น ปัจจุบันรัฐบาลได้ต่อยอดโครงการประชารัฐเป็นโครงการไทยนิยมยั่งยืนซึ่งมี 3 หน่วยงานหลัก ตั้งแต่ กระทรวงมหาดไทย ฝ่ายปกครอง กระทรวงการคลัง โดยแบ่งเป็น 2 หมวดด้วยกันซึ่งก็คงทราบกันดีอยู่แล้วการสร้างความมั่นคงยั่งยืนเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ 10 ประการทั้งหมด ซึ่งทหารต้องสนับสนุนให้เดินควบคู่ไป เห็นว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืนนั้นเป็นโครงการที่รัฐบาลมีความตั้งใจจริงต้องการให้เกิดความมั่นคงสอดคล้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ 20 ปีซึ่งกรมการปกครองได้แจกจ่ายคู่มือมาให้กองทัพบกเพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายมองว่าทหารสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า เราต้องแยกแยะภารกิจให้ออก นี่คือจุดยืนของกองทัพซึ่งจะชี้แจงให้ผู้บังคับหน่วยรับทราบว่าเราต้องระมัดระวัง
“จากนี้ไปถูกจับตามองแน่ เพราะกองทัพและ คสช.ก็คือเนื้อเดียวกัน ขณะนี้รัฐบาลก็คือรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ยืนยันว่าไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลเราก็ต้องทำ ผมก็ต้องทำ ไม่ว่าใคร พรรคการเมืองใดมาเป็นรัฐบาล ไม่ต้องห่วง ผมยืนยันและจุดยืนในการทำงานของผมในการกำหนดทิศทางให้กำลังพลในกองทัพบกได้ดำเนินการ ผมทำงานร้อยเปอร์เซ็นต์และเกินร้อยอยู่แล้ว ไม่ว่าใครมาเป็นนายผม” ผบ.ทบ.กล่าว และว่า ส่วนการวางตัวเป็นกลางในสถานการณ์ข้างหน้านั้นเราเป็นทหารอาชีพ และตนผ่านวิกฤตทางการเมืองและการทหารมาทุกยุคทุกสมัยประสบการณ์ที่ตนเก็บเกี่ยวตลอดระยะเวลาที่รับราชการมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ และมาจาก พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ซึ่งเป็นคุณพ่อของตน จนมายืนเป็นผู้บัญชาการทหารบกในทุกวันนี้ ความเป็น
กลางนั้นขึ้นอยู่กับคนมอง บางครั้งเราทำเรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำเป็นกลาง แต่มุมมองของคนอื่นมองว่าเราไม่เป็นกลางถามว่าจะเอาอะไรมาตัดสินหรือเป็นเครื่องวัดว่ากองทัพอยู่ตรงไหน แต่ขอให้มั่นใจว่า กองทัพเป็นกลางและอยู่เคียงข้างประชาชนจะดำเนินการทุกอย่างให้ประชาชน อยู่ดีกินดีช่วยเหลือประชาชนทุกโอกาส
เมื่อถามว่า กองทัพจะถูกจับตามองหลัง พล.อ ประยุทธ์ ประกาศลงสู่การเมือง จะเว้นระยะห่างระหว่างกองทัพกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างไร พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า อยู่ที่มุมมองของคน การที่ตนไปพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วบอกว่าตนไม่เป็นกลาง ถามว่าใช่หรือไม่ ก็ไม่ใช่ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นหัวหน้ารัฐบาลในขณะนี้ การที่ ผบ.ทบ.ไป พบ พล.อ.ประยุทธ์ก็เป็นเรื่องปกติซึ่งในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลที่มาจาพรรคการเมืองอื่น ขึ้นมาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ตนก็ต้องไปพบ แล้วบอกว่าตนเป็นกลางหรือไม่ ความเป็นกลางอยู่ที่คนมอง ขออย่าเพิ่งตัดสิน ย้ำว่ากองทัพบกเป็นมืออาชีพ เป็นทหารอาชีพ คำว่าทหารอาชีพกับอาชีพทหารแตกต่างกัน ขอความเป็นธรรมด้วย ตั้งแต่เริ่มต้นว่า เรากองทัพบกจะวางตัวเป็นกลางเราในฐานะทหารอาชีพ ใครมาเป็นรัฐบาลต้องสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล
เมื่อถามว่า อุปสรรคในการทำหน้าที่และการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น มีอะไรน่าห่วงหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์กล่าวว่า อุปสรรคของกองทัพในขณะนี้ตนคิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการที่ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจบทบาทหน้าที่ของกองทัพ ว่ากองทัพออกไปช่วยเหลือประชาชนด้วยความบริสุทธิ์ใจ และการทำความเข้าใจกับกำลังพลในการลงไปปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งกำลังพลนั้นบางครั้งมุมมองหรือการทำงานของเขา เป็นอุปสรรคในตัวเอง ถามว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืนจะจบเมื่อไหร่ สมมติว่าทหารเข้าไปแนะนำชาวบ้านตามคู่มือโครงการไทยนิยมยั่งยืน แต่โครงการไทยนิยมยั่งยืนอยู่ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ แล้วจะบอกว่าเราสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์หรืออย่างไร ถือเป็นเรื่องลำบาก ขอให้แยกแยะอยากให้ประชาชนได้เข้าใจและให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย
พล.อ.อภิรัชต์ย้ำว่า อย่าลืมในช่วงสมัยรัฐบาลรักษาการเมื่อปี 2552 และ 2553 เกิดวิกฤตการณ์ก่อนการเลือกตั้ง ทหารก็ต้องดำเนินการตามรัฐบาลที่รักษาการเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นอุปสรรคก็คือการทำงานและความเข้าใจของทั้งสองฝ่ายทั้งผู้ปฏิบัติและผู้ที่เราเข้าไปช่วยเหลือ ส่วนการเตรียมการการเลือกตั้งนั้น
ในปัจจุบันให้หน่วยได้มีความเข้าใจตรงกันว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นในปฏิทินการเลือกตั้งตามโรดแมปตั้งแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ลงพระปรมาภิไธยใน พ.ร.ป.ประกอบการเลือกตั้ง ที่มาของ ส.ส.และ ส.ว. ตนได้แจกจ่ายรายละเอียดให้แก่ ผบ.หน่วย เพื่อให้หน่วยมีความเข้าใจว่าจากนี้ไป 90 วันจะเกิดอะไรขึ้นอีก 150 วัน และการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อใด หากผู้บังคับหน่วยเข้าใจตรงกันไปในทางเดียวกัน เราก็จะมาดูในแต่ละเรื่องการทำงานกองทัพควรจะดำเนินการอย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ถึงช่วงนี้ พล.อ.อภิรัชต์ได้หยิบเอกสารซึ่งเป็นตารางเวลาโรดแมปเลือกตั้ง รวมถึงคู่มือของกรมการปกครองเกี่ยวกับโครงการไทยนิยมยั่งยืน
พล.อ.อภิรัชต์บอกอีกว่า การให้ความรู้แก่ประชาชนถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะระบบการเลือกตั้งในครั้งใหม่นี้เป็นระบบกาเบอร์เดียว ถามว่าเป็นหน้าที่ของกองทัพหรือไม่ หากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือในฐานะหน่วยงานของรัฐ ไม่ใช่ทหาร ต้องช่วยเหลือ ถามว่าทหารเป็นกลางหรือไม่ หรือจะไม่ให้ทหารทำอะไรเลย ไม่ต้องทำหน้าที่ ไม่ต้องสนับสนุน ไม่ต้องช่วยเหลือประชาชน ก็ไม่ใช่ เพราะเรารับเงินเดือนภาษีอากรจากประชาชน ดังนั้น เรื่องการเตรียมการเลือกตั้งเราพร้อมที่จะสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาก กกต.มาขอความช่วยเหลือในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่การรักษาความปลอดภัยหรือการให้ความรู้แก่ประชาชน
เมื่อถามว่า หากสถานการณ์ในอนาคตเกิดวิกฤตกองทัพจะปฏิวัติอีกหรือไม่ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงเป็น ผบ.ทบ.ยืนยันมาตลอดว่าไม่ปฏิวัติ แต่ก็ปฏิวัติ พล.อ.อภิรัชต์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย สื่อมวลชนได้มีการบันทึกภาพในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่าให้เป็นเพียงแต่ภาพที่เกิดขึ้น ให้บันทึกอยู่ในสมองในความทรงจำ เช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่เคยเห็นภาพต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย ทำอะไรก็ลำบาก ค้าขายก็ลำบาก ถนนถูกบล็อก คนไทยออกมาตีกัน ยิงกัน ฆ่ากัน วันนั้นทหารยืนอยู่ตรงไหน เราถูกรัฐบาลสั่งการให้ออกมาควบคุมความสงบเรียบร้อย เราทำด้วยหัวใจที่ไม่ได้คิดแบบนักการเมืองว่าเราจะเข้ามาบริหารประเทศ
“ผมเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้คิดอย่างมีเช่นเดียวกัน แต่ความที่ท่านต้องเสียสละ ถามว่าในวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตัดสินใจทำรัฐประหาร ยอมรับว่าผมมีความคุ้นเคยกับ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ไม่มีเรื่องส่วนตัวกับท่าน เพราะท่านใช้ผมทำงานมาโดยตลอด เดือนหนึ่งได้เจอกัน 5 ถึง 10 นาทีก็เต็มที่แล้ว ผมถึงบอกว่าความเป็นกลางก่อนผมในฐานะที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมเจอท่านในเวลาสั้นๆ ถือว่าเก่งแล้วในชีวิตนี้เคยนั่งคุยกับท่านไม่เกิน 1 ชั่วโมง แต่ได้เห็นความรัก ความรู้ ความทุ่มเทในการทำงานของท่านซึ่งเป็นแบบอย่างหนึ่งของผมในการดำเนินงานด้านราชการ และถ้าวันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ไม่ตัดสินใจ บ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น ผมว่าการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ แต่อยู่ที่ประชาชน” ผบ.ทบ.กล่าวและว่า
ตนหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าเหตุการณ์รุนแรงในบ้านเมืองเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้นอีก ที่ผ่านมามีเหตุการณ์อะไรขึ้นมาก็ไม่เคยขนาดนี้ เพราะมีการแก่งแย่ง แย่งชิงการเมือง การเอาชนะ ไม่รู้จักแพ้ไม่รู้จักชนะ แล้วคนที่แพ้ก็คือประเทศ ยืนยันว่ากองทัพไม่มีวันชนะประชาชน แต่ประชาชนที่ออกมาสร้างความเดือดร้อน ยั่วยุให้จุดไฟเผา มีการประกอบระเบิด นั่นคือท่านแพ้ ท่านเป็นประชาชนที่ทำให้ประเทศแพ้ แทนที่เราจะแข่งขันทางการค้า แล้วต้องใช้เวลากี่ปีฟื้นฟูประเทศซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากเกิดเหตุการณ์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว มีการยกเลิกการนำเข้าส่งออกของประเทศต่างประเทศเป็นเงินมหาศาลกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ใช้เวลาเท่าไหร่ จุดไฟเผาในเมือง เกิดกลียุค ปีเดียวสิ่งปลูกสร้างทำได้ แต่ในทางการค้าไม่ใช่ ความมั่นใจของต่างชาติในการลงทุนต้องใช้เวลานานกว่านั่น แต่วันนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น อาจจะเห็นผลช้า ไม่ทันใจ ตนเชื่อว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ สิ่งที่สื่อถามว่าจะมีปฏิวัติหรือไม่ ตนหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าการเมืองอย่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอีก
“ผมมั่นใจว่าถ้าการเมืองไม่เป็นต้นเหตุแห่งการจลาจล ก็ไม่มีอะไร ประเทศไทยเคยมีปฏิวัติมา 10 กว่าครั้ง แต่ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว เพราะช่วงหลังเกิดจากการเมืองทั้งสิ้น ผมไม่ได้บอกว่านักการเมืองดีหรือไม่ดี แต่เชื่อว่านักการเมืองที่ดีก็มี และนักการเมืองที่ไม่ดีก็มี แต่ปัจจุบันคนไทยเป็นอย่างไร ผมเสียใจในหลายๆ เรื่องที่เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมถูกละเมิด การตัดสินคดีในหลายคดีกับคนทำความผิด บอกว่าไม่เป็นธรรมและประเทศชาติจะอยู่ตรงไหน อะไรเป็นกกลาง อะไรคือจุดยืนของประเทศ ในเมื่อบอกคนนี้ผิดก็แย้งว่าไม่ผิด ถูกแกล้ง แล้วจะอยู่อย่างไร ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จะให้คนไทยอยู่กันอย่างไรโดยไม่มีกฎระเบียบวินัย”
https://t.co/izRat3pfYb pic.twitter.com/DQmsPmDswA
— Deep Blue Sea (@WassanaNanuam) October 17, 2018
“ผบ.ทบ.”ชี้ พวกหมิ่นสถาบันฯเป็นพวกจิตไม่ปกติ สติไม่สมประกอบ เช่นคนที่ไป ถวายฎีกา ตรวจร่างกายแล้ว จิตไม่ปกติ ส่วนพวกจิตปกติ แต่ความคิดแปลกๆ ก็ไม่ได้อยู่ประเทศไทย
บิ๊กแดง ลั่น จะเทิดทูน ปกป้องสถาบันกษัตริย์ฯ ด้วยหน้าที่ และด้วยหัวใจ” pic.twitter.com/wGt2ezd8bp
— Deep Blue Sea (@WassanaNanuam) October 17, 2018
เปิดประวัติ “พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์” ผบ.ทบ.คนล่าสุด