xs
xsm
sm
md
lg

"ตู่-จตุพร"หมดอนาคตต้องปรับบทบาทหาที่ยืนใหม่ !?

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เมืองไทย 360 องศา




นอกเหนือจากเป็นผลต่อเนื่องมาจากโทษจำคุกคดีหมิ่นประมาททำให้ต้องถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองยาวนานนับสิบปีแล้ว สำหรับ "ตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ ที่เวลานี้เป็นประธาน นปช.เพียวๆโดดๆแล้ว นาทีนี้อนาคตในเส้นทางการเมืองถือว่ามืดมิดไปพร้อมๆกัน

ที่ผ่านมาหากจำกันได้ จตุพร พรหมพันธุ์ เคยประกาศให้พันธะสัญญากับสังคมอย่างชัดเจนไปแล้วเมื่อครั้งที่มีมีการรณรงค์ลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ว่า "หากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประชามติมีผลบังคับใช้ผมจะไม่ลงสมัคร สส.ไม่รับตำแหน่งทางการเสืองอย่างเด็ดขาด" ตอนนั้นเขาพูดแบบเทเดิมพันเสียงดังฟังชัด

ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจาก"สถานะ"ก็ต้องยอมรับความจริงว่าในเส้นทางของมวลชนคนเสื้อแดงหรือ นปช.จะถือว่าจะได้รับการยอมรับ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเมื่อมี "ตู่"จตุพร แล้ว ก็ต้องมีอีกคนคือ "เต้น"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่แม้ว่า"มาทีหลัง" แต่ก็้ปฏิเสธไม่ได้ว่าหากพิจารณาจากสถานะก็ถือว่า"ล้ำหน้า"กว่าคนแรกไปไกล

แม้ว่าเทียบกันจาก"ชื่อชั้น"ระหว่าง "ตู่"กับ"เต้น"รับรองว่า "ตู่"เหนือชั้นกว่ามาก ทั้งจากประสบการณ์การต่อสู้ตั้งแต่ในรั้วมหาลัยรามคำแหง เคยลงสนามต่อสู้ทางการเมืองของจริงตั้งแต่ยุค"พฤษภาทมิฬ"ปี 35 ที่เริ่มฉายแววโดดเด่นมาแล้ว ขณะที่ตอนนั้น ณัฐวุฒิ ยังเป็น"วุ้น" เพิ่งโลดแล่นขำๆใน"สภาโจ๊ก"มาเมื่อไม่กี่ปีหลังมานี่เอง หรือก่อนหน้านั้นก็อาจเป็นนักโต้วาทีได้รางวัลในรายการยุคหนึ่งเท่านั้น

แต่ด้วยลีลาและการเข้าถึงระดับ"ขาใหญ่"ในพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะ"ระดับความใกล้ชิด"กับครอบครัว"ชินวัตร"ของ ทักษิณ ชินวัตร หลายคนมองเห็นว่า ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อทำได้แนบชิดกว่า ประกอบกับบทบาทและลีลาของ จตุพร พรหมพันธุ์ ที่ดูดุเดือดเดินหน้าชนกับฝ่ายตรงข้ามมานาน จนกลายเป็นว่า"ติดภาพลบ"ไปเสียอีก

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัดก็คือช่วงพิจารณาโควตารัฐมนตรี ณัฐวุฒิ ก็ได้รับโอกาสก่อนตั้งแต่เป็นผู้ช่วยโฆษกรัฐบาล มาจนถึงเลื่อนชั้นเป็นรัฐมนตรีเริ่มตั้งแต่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จนถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถมยังได้รับความไว้วางใจให้คุม"ถุงเงิน"ระหว่างการชุมนุมทางการเมืองอีกด้วย ซึ่งถือว่าภารกิจแบบนี้ไม่ธรรมดา ต้องได้รับความไว้วางใจ หรืออย่างน้อยก็ต้องแสดงบทบาท"พิเศษ"จนได้รับความไว้วางใจ

หันมาทางฝ่าย จตุพร พรหมพันธุ์ บ้างแทบจะเป็น"ฟ้ากับเหว"ส่วนใครเป็นแบบไหนก็ให้พิจารณากันเอาเอง เพราะหากบอกว่าตำแหน่งในโควตาแกนนำคนเสื้อแดงไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วรับรองว่าชื่อของ จตุพร ต้องได้รับการพิจารณาในอันดับต้นๆแน่นอน นอกเหนือจาก สส.บัญชีรายชื่อที่ต้องลุ้นอันดับเท่านั้น

เมื่อย้อนจากอดีตมาจนถึงปัจจุบันก็อย่าได้แปลกใจที่จะเริ่มเห็นท่าทีใหม่ๆของ จตุพร พรหมพันธุ์ หลังจากพ้นโทษจำคุกในคดีหมิ่นประมาท ที่ทำให้เขาขาดคุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้งและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง อีกทั้งยังมีคดีอาญาอีกหลายคดียางเป็นหางว่าวรออยู่ข้างหน้า และแม้ว่าเมื่อเทียบกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่ยังมีคดีติดตัวเหมือนกัน แต่ในเมื่อยังไม่ถึงที่สุด ยังอีกยาวเส้นทางที่เห็นในอนาคตอันใกล้มันถึงได้ต่างกันสุดกู่ และเป็นเหตุผลที่ต้อง"แยกเดิน"กันคนละทางไปก่อน

แน่นอนว่าสำหรับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ย่อมมั่นคงในพรรคเพื่อไทย หากเปรียบกับบริษัทนี่ถือว่าเป็น"บริษัทแม่"สวัสดิการ หรือผลตอบแทนย่อมดีกว่า"บริษัทย่อย" หรือว่าพรรคสาขาในทางการเมือง และที่สำคัญก็คือไม่จำเป็นต้องเสี่ยงให้เปลืองตัว

แต่สำหรับ จตุพร พรหมพันธุ์ ในเมื่อถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ไม่อาจลงสมัคร สส.ได้ ทั้งในแง่ทางกฎหมายบังคับหรือว่า"คำพูด"ที่เคยประกาศไปแล้วก่อนหน้านี้ มันทำให้จำเป็นต้องเลือกมองหาที่ยืนใหม่ ต้องแสดงบทบาทใหม่ให้เหมาะสมกับตัวเอง นั่นคือการร่วมกันตั้งพรรคการเมืองใหม่ ที่ตามข่าวบอกว่าชื่อ"พรรคเพื่อชาติ"อะไรนั่น ก็เพื่อรองรับสถานะใหม่ ต้องการสร้าง"การต่อรองใหม่"ให้กับตัวเอง

แต่ถึงอย่างไรก็ยังหนีไม่พ้นร่มเงาของบุคลากรของพรรคเพื่อไทย และเครือข่ายคนเสื้อแดงอยู่ดี ไม่ว่าจะมีชื่อหลายชื่อโผล่เข้ามาเช่น นายนพดล ปัทมะ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และ ทนง พิทยะ ที่ตามข่าวถูกวางไว้เป็นบัญชีเสนอชื่อเป็นนายกฯของพรรค ซึ่งทุกคยหากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ล้วนเป็น"เด็กในบ้านของนายใหญ่"ทั้งสิ้น แม้จะหมายเหตุเอาไว้ล่วงหน้าว่ามันยังไม่ชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ได้เห็นความเคลื่อนไหวมาแบบนี้ และถึงอย่างไรก็ต้องติดตามเส้นทางข้างหน้าว่าจะลงเอยแบบไหนด้วย อย่างน้อยเชื่อว่าทำให้หลายคนในพรรคเพื่อไทยเกิดอาการหวั่นไหวไม่น้อย

ขณะเดียวกันหากโฟกัสเฉพาะ จตุพร พรหมพันธุ์ มันก็พอเข้าใจได้ว่าสำหรับเขาแล้วต้องแสดงบทบาทแบบนี้ ต้องเดินในเส้นทางใหม่ อย่างน้อยข่าวการตั้งพรรคเพื่อชาติหากเป็นจริงเป็นจังมันก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทใหม่ที่เหมือนกับบีบให้เขาต้องเล่นแบบนี้ อย่างน้อยหากได้ผลตามเป้าหลังการเลือกตั้งได้ สส.เข้ามาเป็นกอบเป็นกำก็ย่อมมีพลังต่อรองใน"เกมตัวเลข"ที่ต้องแย่งชิงกันรวบรวมเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเพื่อสกัดกั้น คสช.

ส่วนแนวทางแบบนี้จะใช่แผน"แยกกันเดินรวมกันตี"ที่พูดถึงกันหรือไม่ แต่สำหรับ จตุพร พรหมพันธุ์ แล้วแบบนี้แหละคือที่ยืนใหม่ ในฐานะผู้มีอิทธิพลในพรรคใหม่เพื่อสร้างอำนาจต่อรองใหม่ โดยเฉพาะกับ"นายใหญ่"ที่ถึงเวลานั้นน่าจะประเมินกันใหม่ !!


กำลังโหลดความคิดเห็น