“อภิสิทธิ์” นำคณะลงพื้นที่สงขลา หาเสียงชิง หน.ปชป. ยอมรับยังตอบอนาคตพรรคไม่ได้ แต่ไม่ต้องการติดหล่มการเมือง เผย ได้ผู้สนับสนุนครบพร้อมลงชิง หน.พรรค แล้ว มั่นใจหลังเลือกตั้ง ปชป.ไม่ถูกลากให้เลือกข้าง เพราะไม่ใช่ตัวเลือก
วันนี้ (7 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนจะเปิดรับสมัครเข้าแข่งขันหยั่งเสียงเพื่อเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนต่อไปวันพรุ่งนี้ ทางคณะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคคนต่อไป ได้ลงพื้นที่โรงแรมหรรษา เจบี หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อพบปะสมาชิก พร้อมแกนนำ อาทิ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค, นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค, นายศิริโชค โสภา รองเลขาธิการพรรค, นายอันวาร์ สาและ อดีต ส.ส.ปัตตานี, นายนิพนธ์ บุญญามณี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา
โดย นายอภิสิทธิ์ ได้ทำความเข้าใจกับสมาชิกถึงเงื่อนไขที่คำสั่งหัวหน้า คสช. 13/2561 คลายล็อกให้ทำกิจกรรมได้ โดยเฉพาะการหาสมาชิกเพิ่มเติม หลังจากสมาชิกกว่า 2.5 ล้านคน ต้องพ้นสภาพไปเพราะคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 53/2560 แต่ยังมีสมาชิกกลับมายืนยันเกือบ 1 แสนคน มากที่สุดในบรรดาพรรคการเมืองทั้งหมด และมีทุนประเดิมตามเงื่อนไขกฎหมาย พร้อมยืนยันแนวทางการเปิดให้สมาชิกหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคโดยตรง เพื่อให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจพรรคการเมืองอย่างแท้จริง เป็นต้นแบบให้ทุกพรรคการเมืองในอนาคต
นายอภิสิทธิ์ ยังอธิบายถึงการหยั่งเสียง ที่สามารถทำได้โดยแอปพลิเคชัน และมีจุดลงคะแนน และอนาคตจะมีการพัฒนาแอปพลิเคชันไว้ เพื่อให้สมาชิกสามารถสื่อสารกับพรรคได้โดยตรง และย้ำถึงการพัฒนาของพรรคที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เพื่อนำพาพรรคเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแท้จริง
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า จะสมัครเข้าแข่งขันเเพื่อเป็นหัวหน้าพรรคอีกสมัย ซึ่งระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา นำพาพรรคได้คะแนนนิยมมากที่สุด แต่ยอมรับว่า คะแนนก็ยังไม่พอ แต่อนาคตต้องตอบให้ได้ว่าจะนำพาพรรคประชาธิปัตย์ไปอยู่จุดไหน เพื่อทำให้ประเทศหลุดพ้นจากวงจรเดิมๆ เพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี และพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็นหลักให้กับบ้านเมือง เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่แค่เหตุการณ์สงบเท่านั้น แต่การบริหารเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ที่ใช้ราชการเป็นตัวนำ ไม่สามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาประชาชนได้ พร้อมยกผลงานราคายางสูง 160 ถึง 180 บาทต่อกิโลกรัม ในสมัยเป็นายกรัฐมนตรี จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องเน้นเรื่องเศรษฐกิจ มากกว่าจะมานั่งคิดว่าใครจะเลิกทะเลากับใคร รวมถึงเน้นย้ำถึงแนวทางการกระจายอำนาจ เพื่อพัฒนามหานครในทุกภูมิภาค โดยแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง เพื่อให้ประชาชนสามารถเลือกผู้บริหารจังหวัดได้โดยตรง
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า แม้จะดำรงตำแหน่งมานานมแต่ไม่เคยหยุดอยู่กับที่ มีการใช้สิ่งใหม่ๆ ทั้งเทคโนโลยี คนรุ่นใหม่ ความคิดใหม่ และพร้อมเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเดินหน้าทำนโยบายต่างๆ ให้เกิดขึ้นเป็นผลสำเร็จ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า มาถึงวันนี้อายุ 54 หมดเวลาเกรงใจคนแล้ว ต้องทำเรื่องเหล่านี้ให้สำเร็จ ไม่ต้องการเดินวนอีกต่อไปแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ต้องพาประเทศเดินไปข้างหน้า เพราะพรรคการเมืองแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยเท่านั้น ที่จะนำพาประเทศเดินหน้าไปได้ ไม่ถูกลากให้เลือกข้าง เพราะเราไม่เอาทั้งทุจริตหรือเผด็จการ จึงเชิญชวนสมาชิกให้ตั้งหลักและเดินหน้าไปด้วยกัน ที่ผ่านมาเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี มีโอกาสแต่การกู้วิกฤต แต่วันนี้พร้อมแล้วที่จะเดินหน้าสร้างบ้านเมือง
“วันนี้ส่วนใหญ่เขาจะวิเคราะห์การเมืองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้มีอำนาจในปัจจุบันกับพรรคการเมืองที่พูดง่ายๆ ว่า เป็นพรรคที่สืบทอดมาจาก คุณทักษิณ ชินวัตร พยายามให้สังคมคิดแบบนั้น แล้วก็มีฝ่ายหนึ่งบอกว่า พยายามช่วยพรรคประชาธิปัตย์มาต่อสู้กับเผด็จการทหารและก็มีอีกฝ่ายหนึ่งพยายามชวนพรรคประชาธิปัตย์มาสู้กับพรรคการเมืองที่เคยมีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งขอยืนยันว่า ประชาธิปัตย์ไม่ต้องการติดหล่มการเมืองแบบนี้ ประเทศไทย คนไทยมีทางเลือกที่ดีกว่านี้” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังเปิดเผยว่า ขณะนี้มีจำนวนอดีต ส.ส.รับรอง ครบ 20 คน ตามข้อบังคับกำหนด เพื่อเข้าสู่กระบวนการหยั่งเสียงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แล้ว และคาดว่า ผู้สมัครคนอื่นจะสามารถหาผุ้รับรองๆด้ตามเงื่อนไขเช่นเดียวกัน
ส่วนการลงพื้นที่หาเสียงกับสมาชิกพรรคจะเข้าข่ายการหาเสียงที่คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 13/2561 ห้ามไว้หรือไม่ นายอภิสทธิ์ ยืนยันว่า กระบวนการที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในพรรค
ทั้งนี้ ยืนยันว่า หลังเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกลากไปอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่ว่าจะเผด็จการ หรือ จับขั้วกับฝ่ายทีกษิณ เพื่อต่อต้านเผด็จการ นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเลือกอยู่ฝ่ายใด เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ตัวเลือก แต่จะเป็นพรรคที่นำเสนอสิ่งที่แตกต่าง
สำหรับการคาดการณ์ ก่อนหน้านี้ ที่ นายอภิสิทธิ์ เคยระบุว่า การเมืองช่วงหลังเลือกตั้งจะแบบเป็น 3 ฝ่าย สื่อมวลชนถามย้ำว่า ยังคิดเช่นนั้นหรือไม่ ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ กล่าวสั้นๆ ว่า ขณะนี้ก็เป็นเช่นนั้นแล้ว
ส่วนกรณีที่ถูกวิจารณ์ จากอดีต ส.ส.ผู้สนับสนุน นายแพทย์ วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ว่า คนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ เป็นพิษ นายอภิสิทธิ์ ไม่ขอแสดงความคิดเห็น แต่เชื่อว่า ทุกคนในพรรคมีคุณค่า ซึ่งตนเองพร้อมรวบรวมพลังของคนในพรรคเพื่อเดินหน้าทำงานต่อ
นอกจากนี้ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้ง ของกรุงเทพมหานคร ออกเป็น 3 รูปแบบ ว่า เป็นเรื่องปกติที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ จะทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการแสดงความเห็นของประชาชน และ กกต.ต้องทำตามที่กฎหมายกำหนดไว้