xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” โวแก้อุทกภัยพื้นที่เสียหายลด ทั้งที่ฝนใกล้เคียงปี 54

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


นายกฯเผยน้อมนำศาสตร์พระราชามาเป็นแนวทางในการปฏิรูปบริหารจัดการน้ำ เผยแก้น้ำท่วมใช้งบเยียวยาลดลง พื้นที่เสียหายน้อยลง ทั้งที่ปริมาณฝนใกล้เคียงปี 54 ส่วนภัยแล้งลดลงต่อเนื่อง

วันที่ 5 ต.ค. เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลได้น้อมนำศาสตร์พระราชา มาเป็นแนวทางในการปฏิรูป การบริหารจัดการน้ำทั้ง 3 เสาหลัก ได้แก่ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ การจัดทำร่างกฎหมายน้ำ และการจัดตั้งองค์กรกลางในการกำกับดูแล กนช., สทนช.

อีกทั้งได้จัดทำระบบ Area Based 66 เพื่อตอบโจทย์น้ำแล้ง น้ำท่วม น้ำเค็มรุก พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยว ครอบคลุมพื้นที่ราว 30 ล้านไร่ ที่สามารถลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด และช่วยประหยัดงบประมาณในดำเนินการได้มาก เมื่อเทียบการการทำงานแบบเดิมๆ

หลักคิดที่สำคัญ คือ เน้นการลงทุนเพื่อการป้องกัน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาในภายหลัง ขอยกตัวอย่างที่เห็นผลเป็นรูปธรรม แยกเป็นประเด็นหลักๆ ดังนี้

1. พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งลดลง และใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยาน้อยลงมาก ในขณะที่ปริมาณฝนใกล้เคียงกัน เช่น ในปี 2560 เทียบกับปี 2554 ที่มีปริมาณฝนราว 1,800-1,900 มิลลิเมตร แต่มีพื้นที่ได้รับความเสียหายลดลง ประมาณ 2.5 เท่า และในปี 2560 ใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยา 8,600 ล้านบาท แต่ในปี 2554 ใช้งบประมาณในส่วนนี้มากกว่า 41,000 ล้านบาท และในปี 2553 ใช้งบประมาณส่วนนี้ราว 22,600 ล้านบาท เป็นต้น

2. พื้นที่ประกาศเขตการช่วยเหลือภัยแล้ง มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสถิติการประกาศพื้นที่ช่วยเหลือภัยแล้งช่วง 2556-2561 พบว่า ลดลงตามลำดับจาก 30,000 ลงไป 12,000 ลงไป 8,000 ลงไป 3,700 ลงไป 85 และเหลือศูนย์หมู่บ้านในปีนี้ ช่วยให้ลดการใช้งบประมาณ สำหรับช่วยเหลือเยียวยา ลดลงตามลำดับ จากปี 2557-2561 คือจาก 2,500 ลงไป 1,042 ลงไป 1,001 ลงไป 49 และเหลือ 42 ล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งในอดีต ปี 2555 เราเคยต้องใช้งบประมาณในส่วนนี้ มากถึง 8,600 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าหากไม่มีการปฏิรูปแบบบูรณาการ เพื่อการป้องกันอย่างยั่งยืนแล้ว เราจะต้องสูญเสียงบประมาณไปเพื่อการแก้ไขจำนวนมหาศาล แทนที่เราจะนำไปใช้ในการพัฒนาบ้านเมืองหรือแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนในส่วนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็เป็นหลักคิด แนวทางในการปฏิรูปการบริหารประเทศของรัฐบาล และ คสช.อย่างมียุทธศาสตร์

3. ภาพรวมในการใช้งบประมาณสำหรับช่วยเหลือเยียวยาน้ำท่วม ภัยแล้ง ทั้งด้านการเกษตร และด้านอื่นๆ ช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ปี 2551-2561 จะเห็นได้ว่า 5 ปีของรัฐบาลนี้ ปี 2557-2561 ใช้งบประมาณในส่วนนี้ เพียง 18,000 กว่าล้านบาท ในขณะที่ช่วงปี 2554-2557 ใช้งบประมาณฯ เกือบ 90,000 ล้านบาท และช่วงปี 2551-2554 ใช้งบประมาณ ราว 50,000 ล้านบาท ซึ่งชัดเจนว่าประหยัดกว่า 4.8 และ 2.7 เท่า ตามลำดับ

นายกฯ กล่าวอีกว่า แนวทางการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำในปัจจุบัน สอดคล้องกับแนวคิดของประเทศที่เจริญแล้ว เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่เน้นการใช้งบประมาณในการป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งทำได้ง่าย และถูกกว่าการช่วยเหลือ และฟื้นฟู กล่าวคือ ให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อการป้องกันที่ต้นเหตุ ดีกว่าจะคอยแก้ไขเยียวยาที่ปลายเหตุ ดังคำสุภาษิตที่ว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย คือหากไม่ยอมจ่ายในการป้องกันแล้ว เราก็จำเป็นจะต้องจ่ายในการดูแลทุกข์สุข แก้ไขปัญหาที่บานปลาย และบางครั้งก็ยากที่จะควบคุมให้พี่น้องประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [5 ตุลาคม 2561]


สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จครองราชสมบัติ ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ความว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้ทรงปกครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม ทรงมีพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่หลากหลายด้าน อาทิ ด้านการเกษตร ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข ด้านการศึกษา ด้านศาสนา ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้านกีฬา และด้านศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น ทรงตรากตรำพระวรกาย และทรงงานหนัก เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุความยากจน และวิธีการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขอย่างยั่งยืน ผ่านหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ในการดำรงชีวิตของพสกนิกรชาวไทย แต่ได้รับการยอมรับ และนำไปปฏิบัติอย่างแพร่หลายในนานาประเทศ ทรงมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนมีความรู้ ความสามารถ พึ่งพาตนเองได้ เพื่อจะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในการดำเนินชีวิตตามอรรถภาพของแต่ละคน ทรงมีพระราชหฤทัยที่มุ่งมั่นแน่วแน่ เพื่อจะแก้ปัญหาต่างๆ แก่ปวงพสกนิกร มาเป็นเวลายาวนานกว่า 70 ปี

ดังปรากฏเป็นโครงการพระราชดำริมากกว่า 4,000 โครงการทั่วผิืนแผ่นดินไทยจวบจนทุกวันนี้ เนื่องในวันที่ 13 ตุลาคม เป็นวันคล้ายวันสวรรคต
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัฐบาลขอเชิญชวนทุกภาคส่วนทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ร่วมแสดงความจงรักภักดี และร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการจัดกิจกรรมบำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย อาทิ กิจกรรมทำบุญตักบาตรเจริญพระพุทธมนต์ หรือกิจกรรมตามศาสนาที่ศาสนิกชนนับถือ กิจกรรมบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ การจัดนิทรรศการ และกิจกรรมอื่นใดที่เป็นการน้อมรำลึกในพระราชกรณียกิจอย่างใหญ่หลวง ที่ทรงมีต่อประเทศชาติและประชาชน ตามที่หน่วยงานเห็นว่าเหมาะสมและสมควร ในห้วงก่อนหรือหลังวันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์

อีกทั้งขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ได้สวมเสื้อสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียงกัน ในวันที่ 13 ตุลาคม 2561 สิ่งสำคัญที่สุดนอกจากการน้อมนำศาสตร์พระราชา และหลักการทรงงานต่างๆ มายึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และประกอบสัมมาอาชีพแล้ว ผมอยากให้คนไทยทุกคน รู้รักสามัคคี มีความเพียรอันบริสุทธิ์ และมุ่งมั่นทำความดีด้วยหัวใจ ที่จะสร้างความสุขอย่างยั่งยืนต่อตนเอง สร้างความเจริญก้าวหน้าสถาพรต่อสังคมส่วนรวม และร่วมใจสร้างไทยเป็นด้วยกัน

นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงวัฒนธรรม ขอเชิญปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ได้ร่วมชมนิทรรศการสุดยอดศิลปวัฒนธรรมไทย ในรัชกาลที่ 9 ระหว่างวันที่ 12-21 ตุลาคมศกนี้ ณ hall of fame ศูนย์การค้าสยามพารากอน เพื่อจะเป็นการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพด้านศิลปวัฒนธรรม ที่ทรงเป็นเลิศทั้งศาสตร์และศิลป์ อันเป็นคุณประโยชน์ต่อคนไทย และเมืองไทยของเรา ซึ่งคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระสมัญญา “อัครศิลปิน"หมายถึงผู้มีศิลปะอันเลอเลิศ หรือ ผู้เป็นใหญ่ในศิลปินแด่พระองค์ โดยนิทรรศการดังกล่าวประกอบด้วย การถ่ายทอดเรื่องราวและผลงานศิลปะหลากหลายสาขาของพระองค์ สุดยอดภาพยนตร์ไทยในช่วงเวลาแห่งการครองสิริราชสมบัติ 70 ปี สุดยอดเพลงไทยที่ศิลปินสร้างสรรค์ขึ้น ที่จะสะท้อนให้เห็นถึงสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตอันผาสุกร่มเย็นของพสกนิกร ภายใต้ร่มพระบารมี รวมทั้งสุดยอดละครโทรทัศน์ที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ การดำเนินชีวิต วัฒนธรรม และประเพณี ในรัชสมัยของ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตรอีกด้วย

พี่น้องประชาชนที่รักครับ เรื่องที่น่ายินดีวันนี้ คือ กรุงเทพมหานครเมืองหลวงของเรา ได้รับการโหวตให้เป็น "เมืองสุดยอดจุดหมายปลายทาง" อันดับ 1 ของโลก จากการสำรวจของมาสเตอร์การ์ด ฉบับที่ 7 ประจำปี 2561 นับว่าเป็นการครองอันดับ 1 เป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่ปี 2555 และต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปี 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาพักแรม มากกว่า 20 ล้านคน ระยะเวลาพักแรมโดยเฉลี่ย 4.7 คืน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 5,500 บาทต่อวัน

นอกจากนี้ ภูเก็ตและพัทยา ได้รับการจัดให้อยู่ใน 20 อันดับแรกด้วยจากรายงานของมาสเตอร์การ์ด ระบุว่า การที่ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีเมืองน่าเที่ยวถึง 3 แห่ง ติดอยู่ใน 20 อันดับแรก สะท้อนให้เห็นถึงโครงสร้างพื้นฐานที่มีเสถียรภาพ การผสมผสานที่ลงตัว ระหว่างการเดินทางมาทำงานและพักผ่อน รวมไปถึงเสน่ห์ของวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ และค่าใช้จ่ายที่ไม่สูง เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่อื่นๆ ในโลก ยิ่งไปกว่านั้นความพยายามของหน่วยงานภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่ง ในการรักษาระดับการเติบโตที่เหนือกว่ามาตรฐานของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลได้ออกมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น ขยายข้อยกเว้นให้กับนักท่องเที่ยวที่พักระยะสั้น ดูแลความปลอดภัย และสร้างความประทับใจ รวมทั้งยังเป็นเจ้าภาพในการจัดงานระดับโลกหลายรายการในปีที่ผ่านมา ผมขอเป็นตัวแทนพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ แสดงความขอบคุณนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่โหวตให้เมืองต่างๆ ของเราดังกล่าวนั้น เป็นสุดยอดจุดหมายปลายทางที่น่าท่องเที่ยว โดยรัฐบาลนี้ยืนยันว่า นักท่องเที่ยวคือแขกพิเศษของคนไทย

ดังนั้นเราต้องสร้างความประทับใจ และมอบความสุข ตลอดห้วงเวลาที่อยู่ในบ้านของเรา ที่สำคัญคืออยากจะกลับมาเยือน มาค้นหาความเป็นไทยอีกในอนาคต หรือบอกต่อๆ กันไป ถึงสิ่งที่ดีงามในบ้านเมืองของเรา ส่วนคนไทยทุกคนนั้นควรได้ร่วมกันภาคภูมิใจในประเทศไทย สร้างสรรค์ และรักษาสิ่งดีๆ ของบ้านเมือง เพราะแม้ว่าชาวต่างชาติยังชื่นชมในความดีงามของเรา
ที่สำคัญเราต้องประพฤติ ปฏิบัติตนในการเป็นเจ้าบ้านที่ดี มีจิตสำนึก มีความรับผิดชอบ ต่อการกระทำอันจะเกิดเป็นภาพลบของประเทศในเวทีนานาชาติและโลกโซเชียลด้วย ขอร้องผู้ประกอบการ บรรดาผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการแท็กซี่ สามล้อเครื่อง และการให้บริการอื่นๆ เจ้าของกิจการช่วยกันดูแลด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานบริการของท่านจะต้องประพฤติตนปฏิบัติตนเป็นเจ้าบ้านที่ดี คือ มีกิริยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อย ถึงแม้ว่าจะเป็นการกระทำใดๆ ก็ตามที่จะทำให้เกิดความปลอดภัย หรือที่มีการกระทำอันผิดกฎหมาย เราต้องใช้การปฏิบัติที่ละมุนละม่อม อย่าให้เกิดเช่นที่เคยผ่านมา จวบจนขอเน้นในการเรื่องการดูแลความปลอดภัย มาตรฐานไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางเรือต่างๆ เรามีบทเรียนมามากเกินพอแล้ว เกินพอแล้ว เพราะฉะนั้นต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก

พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ เมื่อวันพุธที่ 3 ตุลาคมที่ผ่านมา ผมและรัฐมนตรีหลายท่านได้เดินทางไปตรวจราชการ ณ เมืองแห่งความสุขบนความพอเพียงคือ จ.ลำพูน เพื่อติดตามการดำเนินงานตามนโยบาย การสนับสนุนและส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง ในโครงการไทยเที่ยวไทย ไทยยั่งยืน ซึ่งรายละเอียดต่างๆ คงได้รับทราบผ่านการรายงานข่าวไปแล้ว แต่มี 2 สิ่งที่ผมอยากจะนำมาขยายความ เกี่ยวกับเมืองหริภุญชัยเมืองโบราณแห่งนี้ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,300 ปีดังนี้ เรื่องแรกคือ แม้ลำพูนจะเป็นเมืองรองในการท่องเที่ยว 1 ใน 55 เมืองรอง แต่มีจุดเด่น และมีเอกภาพหลายประการ อาทิ
1.เป็นเมืองขนาดเล็ก สงบ มีสภาพแวดล้อมเอื้อในการเป็นที่พักอาศัย ไม่ไกลจากพื้นที่เศรษฐกิจของเชียงใหม่ นักท่องเที่ยว หรือนักธุรกิจ แม้จะมีจุดหมายหลักคือ เชียงใหม่ แต่สามารถจะมาพักค้างแรมที่ลำพูน และเดินทางไป-กลับได้ ใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง เนื่องจากอยู่บนโครงข่ายการคมนาคมหลัก สามารถเชื่อมโยงกับจังหวัดต่างๆ ทางรถยนต์ และรถไฟ เดินทางสู่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ได้สะดวก นอกจากนี้ ยังสามารถออกแบบโปรแกรมท่องเที่ยว 1 วัน One Day Trip เนื่องจากมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และเชิงนิเวศ ด้วยความเป็นเมืองเก่า มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน มีความเจริญรุ่งเรืองทางศาสนา และวัฒนธรรม มีองค์พระธาตุหริภุญชัยเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว อีกทั้งสามารถจะเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวกับเชียงใหม่ และลำปางได้อีกด้วย

2. เป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมที่มีเอกลักษณ์ และมีการสืบทอดภูมิปัญญาด้านการผลิตที่ได้รับการรับรองสินค้า GI พวกสร้อยข้อมือ การแกะสลักไม้ ที่มีทั้งผู้ประกอบการ และแรงงานในท้่องถิ่นที่มีความชำนาญในงานด้านการฝีมือ

3.มีศักยภาพด้านเกษตรกรรม อาทิ เกษตรกรมีองค์ความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน เป็นแหล่งผลิตลำไย กระเทียม หอมแดง ที่มีความสำคัญของภาคเหนือ โดยเฉพาะการแปรรูปลำไยที่หลากหลาย อาทิ ก๋วยเตี๋ยวลำไย แกงฮังเลลำไย ไอศครีมลำไย นมผสมลำไย ที่ก็นับว่าเป็นนวัตกรรมที่โดดเด่นของ จ.ลำพูน ที่แปลกใหม่อีกด้วย

และ 4.เป็นตลาดแรงงานสำคัญป้อนนิคอุตสาหกรรมภาคเหนือ และยังมีพื้นที่รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมใหม่ๆได้ในอนาคตอีกด้วย

เรื่องที่ 2 ก็คือ จ.ลำพูน ได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดสะอาด 2 ปีซ้อน ก็ถือว่าประชาชนทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในความสำเร็จ จนได้รับรางวัลดังกล่าว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมอย่างยิ่ง

ผมเองมีความยินดี เป็นเกียรติ ที่ได้เดินทางไปปฏิบัติการในพิธีประกาศเจตนารมณ์ ลำพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม ในครั้งนี้ด้วย ตามที่รัฐบาลได้มีนโยบายขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการประเทศไทยไร้ขยะ โดยได้ดำเนินการ 3 ระยะ ได้แก่ ต้นทาง คือการลดปริมาณ และส่งเสริมการคัดแยกขยะ ต้นทางคือ ทุกหลังคาเรือน ทุกชุมชน กลางทาง ก็คือจัดระบบเหตุและผลอย่างมีประสิทธิภาพ และปลายทาง ก็คือการจัดการขยะมูลฝอย ต้องถูกจำกัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ ได้แก่ 3 ช. คือ ใช้น้อยลง ใช้ซ้ำ และนำกลับมาใช้ใหม่ 3R คือ Reduce ,Reuse, Recycle

โดยลำพูน เป็นต้นแบบด้านการบริหารจัดการขยะมูลฝอยชุมชน เป็นจังหวัดสะอาด ที่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง ตามแนวทางประชารัฐ ทุกภาคส่วนก็ได้ร่วมแรง ร่วมใจ บริหารจัดการด้วยกัน ทั้งผู้บริหารระดับจังหวัด ส่วนราชการผู้รับผิดชอบ ภาคประชาสังคม ผู้ประกอบการภาคเอกชน และประชาชนในทุกหมู่บ้านทุกชุมชน ต่างให้ความร่วมมือกัน

ขอชมเชยในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย ในเรื่องของการส่งเสริมการจัดการขยะมูลฝอยต้นทาง หรือแหล่งกำเนิด การทำความตกลงกับร้านค้าต่างๆ เพื่อรณรงค์ ลด ละ เลิก การใช้ภาชนะโฟมบรรจุอาหาร ที่ย่อยสลายยากและมีผลกระทบต่อสุขภาพ การคัดแยกขยะเปียกในศูนย์อาหาร ร้านค้า สถานประกอบการ การขับเคลื่อนของจิตอาสา และอาสาสมัครท้องถิ่นรักษ์โลก โดยใช้เวลาว่างช่วงปิดภาคเรียน ร่วมกันสร้างสรรค์เพื่อจัดการขยะ โดยการนำเศษวัสดุกลับใช้ประโยชน์ใหม่ เป็นต้น

นอกจากนี้ ก็ให้ชาวลำพูนได้สร้างสรรค์นวัตกรรมของ จ.ลำพูน เอง เพื่อเป็นแนวทางให้สำหรับจังหวัด ชุมชน ท้องถิ่นอื่นๆ ได้รับรู้ และประยุกต์ใช้ต่อไป เช่น โครงการปลอดขยะเปียก เป็นการคัดแยกขยะเปียกในครัวเรือนมาใช้ประโยชน์ เช่น ทำปุ๋ยหมัก เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงไส้เดือน ทำน้ำหมักชีวภาพ เป็นต้น

ซึ่งสามารถจะลดค่าใช้จ่ายในการจัดการขยะ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้เฉลี่ยเดือนละ 280,000 บาท เพื่ออัดขยะพลาสติกเป็นก้อน แล้วบริษัทกรีนไลน์ จะรับซื้อในราคากิโลกรัมละ 2 บาท เพื่อนำไปผลิตเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง โดยชาวบ้านจะนำรายได้จากส่วนนี้ไปพัฒนาหมู่บ้าน และจัดสวัสดิการแก่สมาชิก กองทุนขยะเพื่อผู้สูงอายุ โดยผู้สูงอายุที่จะนำขยะรีไซเคิลมาบริจาค ซึ่งรายได้จากขยะเหล่านี้ ก็จะนำเข้าสู่กองทุนผู้สูงอายุของหมู่บ้าน เพื่อจัดสวัสดิการให้แก่สมาชิกในกลุ่ม เช่น จ่ายเป็นเงินฌาปนกิจศพ และเยี่ยมผู้ป่วย เป็นต้น

และโครงการลำพูนเมืองสะอาด ปราศจากโฟม ทั้งจังหวัด นับเป็นจังหวัดแรกของประเทศไทย ลด ละ เลิก การใช้โฟมบรรจุอาหาร และส่งเสริมให้ใช้วัสดุธรรมชาติทดแทน เพื่อจะลดขยะที่ย่อยสลายยาก และช่วยให้ชาวลำพูนมีสุขภาพดี เป็นต้น

พี่น้องประชาชนครับ เรากำลังเริ่มเข้าสู่ปลายฤดู สิ่งที่เป็นปัญหามาโดยตลอดคือการบริหารจัดการน้ำของประเทศ โดยเฉพาะน้ำท่วม น้ำแล้ง ที่ต้องบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ บูรณาการและสมดุลตลอดทั้งปีทุกมิติ ทั้งน้ำอุปโภค น้ำบริโภค ต้นทุนเพื่อการเกษตร อุตสาหกรรม การป้องกันน้ำท่วม การรักษาคุณภาพน้ำ การฟื้นฟูป่าต้นน้ำ มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน

โดยรัฐบาลนี้ได้น้อมนำศาสตร์พระราชา มาเป็นแนวทางในการปฏิรูป การบริหารจัดการน้ำทั้ง 3 เสาหลัก ได้แก่ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ การจัดทำร่างกฎหมายน้ำ และการจัดตั้งองค์กรกลางในการกำกับดูแล กนช. , สทนช.

อีกทั้ง ได้จัดทำระบบ Area Based 66 เพื่อตอบโจทย์น้ำแล้ง น้ำท่วม น้ำเค็มรุก พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และพื้นที่เพื่อการท่องเที่ยว ครอบคลุมพื้นที่ราว 30 ล้านไร่ ที่สามารถลดผลกระทบให้เหลือน้อยที่สุด และช่วยประหยัดงบประมาณในดำเนินการได้มาก เมื่อเทียบการการทำงานแบบเดิมๆ

หลักคิดที่สำคัญคือ เน้นการลงทุนเพื่อการป้องกัน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ปัญหาในภายหลัง ทั้งนี้ ผมขอยกตัวอย่างที่เห็นผลเป็นรูปธรรม แยกเป็นประเด็นหลักๆ ดังนี้

1. พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้งลดลง และใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยาน้อยลงมาก ในขณะที่ปริมาณฝนใกล้เคียงกัน เช่น ในปี 2560 เทียบกับปี 2554 ที่มีปริมาณฝนราว 1,800-1,900 มิลลิเมตร แต่มีพื้นที่ได้รับความเสียหายลดลง ประมาณ 2.5 เท่า และในปี 2560 ใช้งบประมาณในการช่วยเหลือเยียวยา 8,600 ล้านบาท แต่ในปี 2554 ใช้งบประมาณในส่วนนี้มากกว่า 41,000 ล้านบาท และในปี 2553 ใช้งบประมาณส่วนนี้ราว 22,600 ล้านบาท เป็นต้น

2. พื้นที่ประกาศเขตการช่วยเหลือภัยแล้ง มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยสถิติการประกาศพื้นที่ช่วยเหลือภัยแล้งช่วง 2556-2561 พบว่าลดลงตามลำดับจาก 30,000 ลงไป 12,000 ลงไป 8,000 ลงไป 3,700 ลงไป 85 และเหลือศูนย์หมู่บ้านในปีนี้ ช่วยให้ลดการใช้งบประมาณ สำหรับช่วยเหลือเยียวยา ลดลงตามลำดับ จากปี 2557-2561 คือจาก 2,500 ลงไป 1,042 ลงไป 1,001 ลงไป 49 และเหลือ 42 ล้านบาทในปัจจุบัน ซึ่งในอดีต ปี 2555 เราเคยต้องใช้งบประมาณในส่วนนี้ มากถึง 8,600 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าถ้าหากไม่มีการปฏิรูปแบบบูรณาการ เพื่อการป้องกันอย่างยั่งยืนแล้ว เราจะต้องสูญเสียงบประมาณไปเพื่อการแก้ไขจำนวนมหาศาล แทนที่เราจะนำไปใช้ในการพัฒนาบ้านเมืองหรือแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนในส่วนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็เป็นหลักคิด แนวทางในการปฏิรูปการบริหารประเทศของรัฐบาล และ คสช.อย่างมียุทธศาสตร์

3. ภาพรวมในการใช้งบประมาณสำหรับช่วยเหลือเยียวยาน้ำท่วม ภัยแล้ง ทั้งด้านการเกษตร และด้านอื่นๆ ช่วง 11 ปีที่ผ่านมา ปี 2551-2561 จะเห็นได้ว่า 5 ปีของรัฐบาลนี้ ปี 2557-2561 ใช้งบประมาณในส่วนนี้ เพียง 18,000 กว่าล้านบาท ในขณะที่ช่วงปี 2554-2557 ใช้งบประมาณฯ เกือบ 90,000 ล้านบาท และช่วงปี 2551-2554 ใช้งบประมาณ ราว 50,000 ล้านบาท ซึ่งชัดเจนว่าประหยัดกว่า 4.8 และ 2.7 เท่า ตามลำดับ

ดังนั้น สามารถจะกล่าวได้ว่า แนวทางการปฏิรูปการบริหารจัดการน้ำในปัจจุบัน สอดคล้องกับแนวคิดของประเทศที่เจริญแล้ว เช่น ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่เน้นการใช้งบประมาณในการป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งทำได้ง่าย และถูกกว่าการช่วยเหลือ และฟื้นฟู กล่าวคือ ให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อการป้องกันที่ต้นเหตุ ดีกว่าจะคอยแก้ไขเยียวยาที่ปลายเหตุ ดังคำสุภาษิตที่ว่า เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย คือหากไม่ยอมจ่ายในการป้องกันแล้ว เราก็จำเป็นจะต้องจ่ายในการดูแลทุกข์สุข แก้ไขปัญหาที่บานปลาย และบางครั้งก็ยากที่จะควบคุมให้พี่น้องประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อันนี้ก็ใช้กับหลายๆ กิจกรรม หลายๆ กรณีด้วยกัน เช่น การรักษาพยาบาล การสาธารณสุข เหล่านี้ถ้าพวกเรารู้จักการป้องกันตนเอง เราก็จะลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงไปได้มาก ด้วยการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง

พี่น้องประชาชนที่รักครับ ผมและรัฐบาลนี้ ได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาอย่างต่อเนื่อง เพราะถือว่าเป็นหนึ่งในกลไกหลักที่จะช่วยนำพาประเทศชาติไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม ก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแบบก้าวกระโดด โดยประเทศในภาพรวมมีการเพิ่มการลงทุนด้านการวิจัย และพัฒนา มากกว่า 3 เท่า มาอยู่ที่ 170,000 ล้านบาท ซึ่งก็คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 1 ของจีดีพี โดยเอกชนมีการลงทุนด้านนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 4 เท่า

นอกจากนี้ ได้มีการเพิ่มจำนวนบุคลากรด้านการวิจัย เป็น 140,000 คน เพื่อจะเป็นฐานรากในการรองรับการวิจัย และการก้าวเข้าสู่ยุคประเทศไทย 4.0 ได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ รัฐบาล โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยังได้พยายามดำเนินงานเพื่อจะตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในทุกมิติ เช่น การต่อยอดความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยถ่ายทอดให้กับผู้ประกอบการ 740,000 คน ให้บริการด้านการตรวจสอบ ตรวจวัดมาตรฐานต่างๆ ให้กับภาคเอกชนมากกว่า 3 ล้านรายการ สร้างแรงบันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์ให้กับคนรุ่นใหม่มากกว่า 3,200,000 คน และเร่งพัฒนาบุคลากรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นวัตกรรม เพิ่มขึ้น 2 เท่า หรือ 5,600,000 คน รวมถึงให้มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับอนาคตเพิ่มขึ้น 6 เท่า และการร่วมมือกับภาคเอกชนในการทำวิจัยผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อจะนำเอานวัตกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่ม และยกระดับความสามารถในการผลิตสินค้าของประเทศ

กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียังได้บูรณาการทำงาน ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อขับเคลื่อนผลงาน นวัตกรรม ที่จะช่วยปฏิรูปประเทศ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจไทยไปสู่ฐานนวัตกรรม โดยได้นำวิทยาศาสตร์สร้างคน เพื่อเตรียมความพร้อมคนไทยในศตวรรษที่ 21 นำวิทยาศาสตร์การสร้างอาชีพ เพื่อลดความเหลื่อมล้า และนำวิทยาศาสตร์มาเสริมแกร่ง สร้างชาติให้เข้มแข็ง เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

ผมอยากจะขอยกตัวอย่างล่าสุดที่ได้นำมาเสนอให้ผมและคณะรัฐมนตรีได้เห็น และสะท้อนถึงความสำเร็จของการสนับสนุนจากภาครัฐ และการร่วมวิจัยระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กับบริษัทเอกชนในกลุ่มบริษัทโชคนำชัย ในการพัฒนานวัตกรรมด้านอุปกรณ์ทางทหารและยานยนต์ เช่น

(1) เรืออลูมิเนียมที่แข็งแกร่ง แข็งแรง และเบากว่าไฟเบอร์กลาส มีอายุการใช้งานนานกว่า 30 ปี ไม่มีปัญหาการอมน้ำ และจะพัฒนาให้มีมาตรฐานเทียบเท่ากับต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถนำไปใช้ในการสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้

(2) รถอลูมิเนียมที่มีโครงสร้างน้ำหนักเบา โดยจะนำไปผลิตเป็นรถโดยสารและยานพาหนะสมัยใหม่ เช่น รถที่ใช้ไฟฟ้า รวมทั้งมีการเสริมความแข็งแกร่งเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารด้วย เป็นต้น

ความร่วมมือนี้ก็นับเป็นตัวอย่างของโครงการที่ได้รับประโยชน์จากโปรแกรมการสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของภาครัฐ การสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ อีกทั้งยังมีการยื่นขอรับการพิจารณาบัญชีนวัตกรรมและการลดภาษี โดยในระยะต่อไปคาดว่าโครงการนี้จะได้รับการต่อยอดไปสู่การพัฒนาพาหนะสมัยใหม่ การผลิตชิ้นส่วน ผลิตโครงสร้างน้ำหนักเบา การผลิตแม่พิมพ์ รวมถึงพัฒนาบุคลากรเพื่อยกระดับศักยภาพการผลิตของประเทศอีกด้วย

จากผลการดำเนินงานข้างต้น รวมถึงการขับเคลื่อนงานด้านวิทยาศาสตร์อื่นๆ ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้อันดับความสามารถปัจจัยด้านนวัตกรรมประเทศไทย ของ World Economic Forum ดีขึ้น เดิมจากอันดับที่ 66 ในปี 2556 ก้าวสู่อันดับที่ 50 จาก 137 ประเทศ ในปีนี้ และสามารถสร้างมูลค่าการส่งออกเทคโนโลยีระดับสูงได้มากกว่า 4 ล้านล้านบาทต่อปี ก็นับเป็นหนึ่งในแนวทางการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และเป็นการี่ระเทศไทยเดินหน้าไปสู่ 4.0 ได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น

พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ อีกก้าวหนึ่งของการเป็นประเทศไทย 4.0 ในส่วนของการบริหารราชการแผ่นดินของภาครัฐ ก็คือการเร่งดำเนินการให้มีศูนย์รับคำขออนุญาต หรือ One Stop Service กลางของภาครัฐ ก็นับเป็นอีกหนึ่งบริการที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมาก เพื่อจะให้เป็นศูนย์กลางสำหรับประชาชนในการรับคำขออนุญาตด้านต่างๆ แทนการยื่นเรื่อง ณ หน่วยงานรัฐ ในลักษณะเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว แล้วจัดส่งเรื่องถึงหน่วยงานต่างๆ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป เทียบกับในระบบเดิม ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า ที่ผ่านมานั้นหากผู้ประกอบการต้องการเปิดร้านอาหาร จะต้องเดินทางไปหน่วยงานราชการถึง 3 แห่ง ขอใบอนุญาตทั้งหมด 6 ฉบับ ต้องกรอกข้อมูล 310 รายการ และต้องเตรียมเอกสารประกอบทั้งหมด 98 ชุด ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เอกชนหรือภาคธุรกิจไม่ได้รับความสะดวก และเป็นต้นทุนในการประกอบธุรกิจที่ภาครัฐสามารถจะช่วยให้ลดลงได้

ล่าสุด เมื่อวันพุธที่ 3 ตุลาคม ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ได้เปิดนำร่องการให้บริการ One Stop Service กลางของภาครัฐเป็นแห่งแรก เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน และจะช่วยให้ธุรกิจที่ต้องการขอใบอนุญาตประกอบกิจการต่างๆ สามารถทำได้ ทั้งการเดินทางมายื่นคำขอด้วยตนเอง ณ จุด One Stop Service กลาง ที่ได้เปิดนำร่องไปแล้ว ณ บริเวณชั้น 1 อาคารสำนักงาน ก.พ. เดิม

นอกจากนี้ อีกช่องทางที่จะอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชนและธุรกิจต่างๆ ได้ไม่แพ้กัน ก็คือการยื่นคำขอทางออนไลน์ ตามเว็บไซต์ด้านล่างนี้ โดยสำนักงาน ก.พ.ร. ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ พัฒนาขึ้น โดยผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถหาข้อมูลในการขอใบอนุญาตต่างๆ ในทุกขั้นตอนได้ในที่เดียว มีการแนะนำว่าต้องขอใบอนุญาตอะไรบ้าง ต้องเตรียมเอกสารอะไร ใช้เวลานานเท่าใด และไม่ต้องกรอกข้อมูลซ้ำหลายรอบ มีการเชื่อมต่อกับเอกสารของเราที่หน่วยงานต่างๆ มีไว้แล้ว หรือหากต้องทำสำเนาก็จะใช้เพียงชุดเดียว ซึ่งทั้งสองช่องทางนี้จะช่วยให้ผู้มาขอรับบริการเดินทางไปสถานที่ราชการน้อยที่สุด ยื่นเอกสารได้ ณ ที่เดียว ใช้แบบฟอร์มเดียว และสามารถติดตามสถานการณ์การดำเนินการขอใบอนุญาตได้

ในปัจจุบันทั้ง 2 ช่องทางได้เปิดให้บริการสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ การขอใช้สาธารณูปโภค การเปิดร้านอาหาร และร้านค้าปลีก รวมทั้งหมด 24 งานอนุญาต โดยจะมี Chat Board และแอปพลิเคชัน LINE ที่ Line@goodgov4u ให้บริการ ติดตาม ประเมินผล โดยการให้บริการของ One Stop Service กลาง จะพร้อมอย่างเต็มรูปแบบ ในช่วงเดือนมกราคม 2562 พร้อมจะขยายงานให้บริการใน 10 ธุรกิจ 40 ใบอนุญาต เช่น ร้านกาแฟ รีสอร์ตขนาดเล็ก สปา ฟิตเนส และคาร์แคร์ เป็นต้น รวมทั้งจะขยายการให้บริการออนไลน์ไปยังงานบริการประชาชนที่สำคัญอื่นๆ เพิ่มเติมอีกด้วย

นอกจากนี้ ในการให้บริการของ One Stop Service จะร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และบริษัท เนชั่นแนล ดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) ในการนำระบบยืนยันตัวตนแบบใหม่ที่เป็นแบบดิจิทัลมาทดลองใช้อีกด้วย เพื่อให้การบริการภาครัฐแบบออนไลน์ของเรานั้น ได้มาตรฐานสากล มีความปลอดภัย เป็นที่น่าเชื่อถือ และตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน รวมทั้งภาคธุรกิจ ได้อย่างแท้จริง

สุดท้ายนี้ ในนามประชาชนและรัฐบาลไทย ผมขอแสดงความเสียใจต่อเหตุภัยพิบัติที่เกิดขึ้น และขอแสดงความห่วงใย เป็นกำลังใจต่อชาวอินโดนีเซีย โดยแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ มีทั้งผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ สูญหาย และไร้ที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ผมเชื่อมั่นว่าการบริหารจัดการในการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาของทางการอินโดนีเซีย ภายใต้การนำของนายโจโก วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย จะสามารถนำพาผู้ประสบภัยชาวอินโดนีเซียก้าวผ่านพ้นภาวะเหตุการณ์ภัยพิบัติดังกล่าวไปได้ และมีการฟื้นตัวได้โดยเร็ว โดยรัฐบาลไทยได้มอบเงินช่วยเหลือให้แก่เอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เป็นจำนวนเงิน 5 ล้านบาท เพื่อแสดงน้ำใจและมิตรไมตรี ตลอดจนขอขอบคุณที่รัฐบาลอินโดนีเซียได้ช่วยอำนวยความสะดวกในการอพยพคนไทยจากอินโดนีเซียให้กลับถึงประเทศไทยอย่างปลอดภัย ในการนี้ ผมขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวอินโดนีเซียจากภัยธรรมชาติในครั้งนี้ ตามรายละเอียดบนหน้าจอ ทั้งนี้ ผมมีกำหนดการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม ASEAN Leaders' Gathering ที่บาหลี ในสัปดาห์หน้า ก็จะถือโอกาสแสดงความเสียใจ และขอบคุณประธานาธิบดีอินโดนีเซียด้วยตนเองอีกครั้ง

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่เข้มแข็ง ทุกครอบครัวมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น