ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนให้ กทพ.จ่ายชดเชยรายได้ค่าผ่านทางของทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด เป็นเงิน 1,790 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ให้บริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด จากกรณีสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต แย่งรายได้
วันนี้ (21 ก.ย.) ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ที่ให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ชี้ขาดให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)ชำระเงินค่าชดเชยรายได้ที่ลดลงแก่บริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด สำหรับ ปี พ.ศ. 2542 จำนวน 730,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามที่กำหนดในสัญญา และปี พ.ศ. 2543 จำนวน 1,059,200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามที่กำหนดในสัญญา รวมเป็นเงิน 1,790,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ตามที่กำหนดในสัญญา กรณีมีการสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต เป็นทางแข่งขันที่ทำให้ปริมาณการจราจรและรายได้ค่าผ่านทางของทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ของบริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ลดลงจากที่ประมาณการไว้ ซึ่งมีผลกระทบตามสัญญา และยกคำร้องของการทางพิเศษแห่งประเทศไทยที่ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุด โดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง โดยให้ชำระให้แล้วเสร็จภายใน 90 วันนับแต่คดีถึงที่สุด
ทั้งนี้ คดีกล่าวสืบเนื่องมาจากการที่ บริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ได้ก่อสร้างทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ตามสัญญาที่รัฐมนตรีมีมติให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินการ และกรมทางหลวงได้ก่อสร้างทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต ซึ่งบริษัทเห็นว่าเป็นทางแข่งขันกับทางด่วน สายบางปะอิน-ปากเกร็ด ตามที่กำหนดในสัญญา เนื่องจากไม่เข้าข้อยกเว้นที่ระบุไว้ว่าเป็นทางที่ไม่มีลักษณะแข่งขัน จึงร้องขอให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยชำระเงินค่าชดเชยที่ปริมาณจราจรและรายได้ลดลงจากที่ประมาณการไว้ ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดว่า ทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ ช่วงอนุสรณ์สถานแห่งชาติ-รังสิต เป็นทางแข่งขันที่ทำให้ปริมาณการจราจรและรายได้ค่าผ่านทางของทางด่วนสายบางปะอิน-ปากเกร็ด ลดลงจากที่ประมาณการไว้ ซึ่งมีผลกระทบตามสัญญา จึงชี้ขาดให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ชำระเงินค่าชดเชยรายได้ที่ลดลงแก่บริษัททางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด เป็นเหตุให้ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยยื่นร้องศาลปกครองขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวตุลาการเสียงข้างน้อยจำนวน 16 คนไม่เห็นพ้องด้วยกับความเห็นของเสียงข้างมากในการประชุมใหญ่ตุลาการศาลปกครองสูงสุดในการพิจารณาดังกล่าวโดยเห็นว่า ในขั้นตอนเจรจาก่อนทำสัญญาดังกล่าว บริษัทฯ ได้ยื่นข้อเสนอให้รัฐชดเชยเพื่อประกันรายได้ให้แก่บริษัท และให้ก่อสร้างทางยกระดับดอนเมือง-โทลล์เวย์หยุดแค่อนุสรณ์สถาน ซึ่งมีมติครม.เมื่อวันที่ 11 มิ.ย. 2539 ว่ารัฐบาลจะไม่ชดเชยรายได้ส่วนที่ขาดให้แก่บริษัท แต่รัฐบาลจะก่อสร้างก่อสร้างทางยกระดับดอนเมือง-โทลล์เวย์หยุดแค่อนุสรณ์สถาน กรณีดังกล่าวจึงเท่ากับว่า กทพ.ได้ยืนยันเจตนารมณ์ในการเข้าทำสัญญาตั้งแต่ต้นว่าจะไม่ใช้วิธีชดเชยรายได้ ดังนั้น เมื่อคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการให้ กทพ.ชำรำเงินชดเชยรายได้ต่อบริษัทดังกล่าว จึงถือว่าขัดต่อหลักกฎหมายมหาชน เพราะ กทพ.ยังไม่มีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องชำระเงินดังกล่าว ดังนั้นการยอมรับหรือการบังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว ย่อมเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลปกครองสูงสุดจึงชอบที่จะมีคำสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคำชี้ขาดดังกล่าว