ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ใครเป็นใครใน 7 อรหันต์!! กางโปรไฟล์ 7 กรรมการ กกพ.ชุดใหม่ ระดม“กูรูพลังงาน-กูรูกฎหมาย-กูรูนโยบาย”เรียกว่า “ครบเครื่อง”ทั้งบุ๋น-บู๊ แต่ “วางตาไม่ได้”มาด้วย "อำนาจพิเศษ" แล้วหนีบ "ภารกิจพิเศษ" มาด้วยไหม วัดใจปมร้อน“GPSC”ซื้อหุ้น “GLOW”ที่รอนัดเคาะ 27 ก.ย.นี้ พ่วงออปชั่นขยายเวลาได้อีกรอบ แต่หากมี “ธง”มาอยู่แล้วอาจจะไม่ยืดเยื้อ
ใครเป็นใครกันมั่ง .. สำหรับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) หรือ “เรกูเลเตอร์ด้านพลังงาน”จำนวน 7 คน ที่เพิ่งมี“มาตรา 44” แต่งตั้งแทนที่ชุดเก่า .. เริ่มกันที่หัวโต๊ะ เสมอใจ ศุขสุเมฆ ประธาน กกพ. เพิ่งลาออกจาก ผอ.สถาบันบริหารกองทุนพลังงาน (องค์การมหาชน) และเคยเป็น ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานแห่งชาติ (สนพ.) มาก่อน .. ส่วนกรรมการ 6 ราย ประกอบด้วย สุธรรม อยู่ในธรรม รายนี้มาจาก“สายกฎหมาย”เป็น อดีต ผอ.ศูนย์กฎหมายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลังงาน และ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วยังเคยเป็น อดีตคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ด้วย .. ส่วน ชาญวิทย์ อมตะมาทุชาติ มาจากอดีต รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ .. ขณะที่ พีระพงษ์ อัจฉริยชีวิน คร่ำหวอดในวงการพลังงาน ผ่านงานผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ มาหลายแห่ง ทั้ง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) .. อีกราย บัณฑูรย์ เศรษฐศิโรตม์ เคยเป็น ผอ.สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (กพย.) และยังเป็น คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อีกด้วย .. ถัดมา สหัส ประทักษ์นุกูล อดีต เอ็มดี “เอ็กโก กรุ๊ป”บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ ที่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ถือหุ้นใหญ่อยู่ .. คนสุดท้าย อรรชกา สีบุญเรือง อดีต ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ที่เคยขึ้นชั้นเป็น รัฐมนตรีว่าการถึง 2 กระทรวง “อุตสาหกรรม - วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”ในยุค คสช.มาแล้ว ..
ประเมินด้วยสายตา ต้องบอกว่า “กกพ.ป้ายแดง”ชุดนี้ ระดมผู้มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์แขนงต่างๆ เข้ามาอย่าง“ครบเครื่อง” ทั้งบุ๋น-บู๊ .. หากแต่อย่างที่บอกว่า “วางตาไม่ได้”โดยเฉพาะการที่เข้ามาด้วย "อำนาจพิเศษ" ที่อาจจะพกเอา "ภารกิจพิเศษ" มาด้วย .. โดยเฉพาะอำนาจหน้าที่ของ กกพ.ในฐานะ“เรกูเลเตอร์ด้านพลังงาน”ที่เกี่ยวพันโยงใยกับ “ธุรกิจพลังงาน”ที่มูลค่ามากมายมหาศาล .. อย่างที่ดักทางมาตั้งแต่ชุดเก่า จนมาถึงชุดใหม่ เกี่ยวกับการกำหนด“โควตาซื้อไฟ”อันเกี่ยวเนื่องถึงผลประโยชน์ ทั้งของภาครัฐและเอกชน .. กระทั่งแนวทางสนับสนุน “โรงไฟฟ้าพลังงานขยะ” ที่เหมือนว่า กกพ.เก่า จะไม่สอดรับกับทาง“กระทรวงมหาดไทย”เจ้าภาพนโยบายจัดการขยะเท่าไร .. หรือ “ประเด็นร้อน”ที่จับตากันอยู่ อย่างกรณี บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ในเครือ “ปตท.”กำลังเข้าซื้อกิจการผลิตไฟฟ้าของ “GLOW”บริษัท โกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) ที่ขณะนี้เรื่องค้างการพิจารณาอยู่ใน กกพ. ที่จะเคาะว่า“ซื้อได้หรือไม่” .. เป็นเรื่องที่ “เสี่ยดอน”กรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เคลื่อนไหวหนักหน่วง .. โดย กกพ.ชุดเก่า ที่มี พรเทพ ธัญญพงศ์ชัย เป็นประธาน นัดสรุปกันใน วันที่ 27 ก.ย.นี้ .. เห็นทาง “ประธานเสมอใจ”ระบุว่า จะพิจารณาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ก็น่าสนใจว่า “กกพ.ใหม่”จะเคาะในนัดหมายเดิมหรือไม่ .. เพราะยังมีออปชั่นให้ กกพ.ใหม่ จะขอยืดเวลาไปอีก 15 วัน หรือ 30 วัน เพื่อให้การพิจารณารอบคอบ .. แต่หากมี “ธง”มาอยู่แล้ว ปมนี้ก็ไม่ยืดเยื้อ
**ต้องทำเป็นตัวอย่าง!! เปิดเบื้องลึก “กฤษฎา”ออกคำสั่งขันนอต “ลูกน้อง”หลังถูกปูดข้อเสนอ “ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ”จากกรมประมง ถูก "หน้าห้อง" ดอง จนภาคปชช.จ่อขยับ-สนช.เตรียมตั้งกระทู้ทวงถาม ลั่นทำงานมาไม่เคยดองเรื่องเกิน 48 ชั่วโมง งั้นขอฝากเรื่องขอให้ “ยุติ”การใช้สารเคมี “พาราควอต - คลอร์ไพริฟอส - ไกลโฟเซต”ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน โชว์เซ็นตามเส้นตาย 48 ชั่วโมง เป็นตัวอย่าง ไม่ต้องรอผลศึกษาเตะถ่วงอะไรนั่นหรอก
ฮือฮาไม่น้อย .. กับ “ข้อสั่งการด่วน”ของ “บิ๊กปุ้ย”กฤษฎา บุญราช รมว.เกษตรและสหกรณ์ ที่ยิงตรงไปถึงทุกหน่วยงานในสังกัด เกี่ยวกับ “แนวทางการเสนอหนังสือราชการให้รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ ลงนาม” .. เน้นย้ำนโยบายเดิม ที่ “บิ๊กปุ้ย”เคยให้ไว้ตั้งแต่มาคุม “กระทรวงพญานาค” เมื่อ ธ.ค.60 ที่อนุญาตให้ “เจ้าของเรื่อง”ถือเรื่องมาพบ และชี้แจงรายละเอียดกับรัฐมนตรีโดยตรง เพื่อให้สามารถลงนามได้ทันที ทั้งในเวลาราชการ-นอกเวลาราชการ ได้ทุกโอกาส .. โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับความเดือดร้อนของประชาชน หรือเรื่องที่ประชาชนให้ความสนใจเป็นพิเศษ .. พร้อมยืนยันว่า ที่ผ่านมาลงนามในหนังสือราชการทุกฉบับ อย่างช้าที่สุดไม่เคยเกิน 48 ชั่วโมง นับแต่มีการเสนอเรื่อง และไม่มีเรื่องค้างอยู่บนโต๊ะทำงาน .. พิเคราะห์ตามข้อสั่งการแล้ว ก็อนุมานได้ว่า น่าจะเกิดเรื่อง “แอบอ้าง”ว่าบางเรื่องติดขัดอยู่ที่ “รมต.เกษตรฯ”กระทั่ง “เกียร์ว่าง - ดองงาน”จนงานในกระทรวงไม่เดิน .. ว่ากันว่าที่มาที่ไปของ “ข้อสั่งการ”มาจากประเด็นที่ “ภาคประชาชน”เรียกร้องรัฐบาล ประกาศให้ "ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ" .. ขณะที่“รมต.กฤษฎา”ก็ดูจะเห็นดีด้วย ประกาศจะสนับสนุนเรื่องนี้อย่างจริงจัง ขีดเส้นนำเรื่องเสนอครม.ไม่เกินสิ้นปีนี้ .. เรื่องนี้ผู้รับผิดชอบคือ “กรมประมง”ที่ได้ทำข้อข้อมูลทั้งทางวิชาการ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางพิจารณา โดยคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ .. เสนอขึ้นมาที่“บิ๊กปุ้ย” ก่อนที่จะส่งเข้า ครม.ให้พิจารณาในขั้นสุดท้าย ตั้งแต่เดือนกลางเดือนก.ค. ผ่านไปร่วม 2 เดือนเต็ม ก็ยังไร้วี่แววความคืบหน้า ..
“แหล่งข่าวแถวๆ ถนนราชดำเนินนอกกล่าวว่า หนังสือข้อเสนอดังกล่าว ถูกแช่อิ่มโดยลูกน้องคนสนิทหน้าห้อง ตีรวน บ่ายเบี่ยงไม่จบไม่สิ้น ใช้เวลานับเดือนแล้วก็ยังก้าวไม่ข้ามพ้นธรณีประตูเข้าสู่ห้องทำงานรัฐมนตรี ซ้ำยังอวดอ้างฤทธิ์เดชไปทั่วอีกด้วย” คือตอนหนึ่งของบทความ“พระพิรุณกับงูเขียว”โดย “นายหม้อ” แห่งสำนักผู้จัดการ 360 ว่าไว้เมื่อวันก่อน .. ตรงกับรายงานจาก“กระทรวงพญานาค”ที่ว่า "ลูกน้องคนสนิทหน้าห้อง" ที่ดองเรื่องไว้ พยายาม “บ่ายเบี่ยง”ทุกวิถีทาง อ้างสารพัด ตีเรื่องกลับให้แก้ไข ไม่รู้จบ .. ขนาด “ผู้รับผิดชอบ”พยายามขอถือหนังสือเข้าไปเรียนชี้แจง กับเจ้ากระทรวง ตามนโยบายที่ให้ไว้ ก็ถูกบล๊อกทุกทาง .. ข่าวว่าไม่เพียงแต่ “ภาคประชาชน”เริ่มขยับ ฝั่ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ก็กำลังตั้งกระทู้ถามรัฐบาล ถึงความล่าช้าในเรื่องนี้อีกด้วย .. กลายเป็นเรื่องไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ “รมต.ปุ้ย”ถึงกับปรึ๊ดแตกขึ้นมา ก่อนจะมี“ข้อสั่งการด่วน”ออกมานั่นแหละ .. บทความ “นายหม้อ”ยังทิ้งท้ายไว้สะใจด้วยว่า สำหรับ “หน้าห้อง”โบราณว่าไว้ “โง่แล้วขยันให้ฆ่าทิ้ง ลูกน้องจะพานายไปตาย เลี้ยงไว้ก็อัปรีย์” ..
ก็เห็นดีด้วยกับ“บิ๊กปุ้ย”ที่ออกมากระชุ่นให้ลูกน้องให้ทำงานในช่วงโค้งท้ายของรัฐบาล แล้วไหนๆ ว่าถึงเรื่องนี้ ก็อยากฝากไปถึงอีกเรื่องที่สำคัญ และเป็นความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่า .. อย่างกรณี องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ได้ทำหนังสือถึง “รมต.กฤษฎา”เพื่อขอให้ยุติการใช้สารเคมี“พาราควอต - คลอร์ไพริฟอส - ไกลโฟเซต”ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อประชาชนทันที .. ซึ่งเรื่องนี้เราทราบดีถึง “จุดยืน”ของ "อาจารย์ยักษ์" วิวัฒน์ ศัลยกำธร รมช.เกษตรฯ ที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับภาคประชาชน หากแต่จุดยืนของ “รมต.ปุ้ย”ยังดูไม่ชัดมากนัก .. แม้ว่า “นายกฯประยุทธ์”จะได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาอยู่ แต่ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับคณะกรรมการชุดนั้น ก็เปิดทางไว้ว่า กระทรวงเกษตรฯสามารถเสนอเรื่องต่อ คณะกรรมการควบคุมวัตถุอันตรายได้โดยตรง .. อีกทั้งข้อมูล ผลวิจัยต่างๆ ก็มีพร้อมสรรพ จึงเป็นอีกเรื่องที่ไม่น่าจำต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน 48 ชั่วโมง ที่ “รมต.กฤษฎา”ตีกรอบไว้ ก็น่าจะเพียงพอในการออกข้อสั่งการให้ยุติการใช้ “3ยาพิษ”โดยทันที .. ไม่ต้องรอผลศึกษาวิจัย อะไรอีก 60 หรือ 90 วัน ที่ใครก็รู้ว่า พยายาม “เตะถ่วง” ไปเรื่อย
**แค่ละครอีกฉาก!! ศึกใน “ประชาธิปัตย์”ท่าจะไม่ดุเดือดอย่างที่คิด ต่างฝ่ายต่างเล่นใหญ่ เลี้ยงประเด็น“สมาชิก”โหวตหัวหน้าพรรค โชว์ความเป็น “สถาบันการเมือง”ข่ม “เพื่อไทย”ไปอย่างนั้น สุดท้าย “คนกันเอง”คุยกันลงตัว ให้ “พ่อมาร์ค”ครองเก้าอี้ “จ่าฝูง”ไปอีกงวด ก่อนผันตัวไปเป็น “นั่งร้านทหาร”ที่มีเก้าอี้ “ประธานที่ปรึกษานายกฯ”คอยท่าอยู่
ล่วงหน้าไปก่อนเพื่อน .. พรรคประชาธิปัตย์ ขานรับคำสั่ง “คลายล็อก”ของ คสช. นัดหมายประชุมกรรมการบริหารพรรคกันไปแล้ว โดยมี “พ่อมาร์ค”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค เป็นหัวโต๊ะ .. แม้องค์ประชุมจะขาดไปพอสมควร แต่ก็ได้ข้อสรุปเบื้องต้นในการจัดประชุมใหญ่ของพรรค ในวันที่ 26 ก.ย. บ่ายโมงตรง .. ที่จะเป็นการประชุมเพื่อเพื่อแก้ไขขัอบังคับพรรค ให้สอดคล้องกับกฎหมายพรรคการเมือง และมี “วาระสำคัญ”ในการเปิดให้สมาชิกทั่วประเทศโหวตหัวหน้าพรรคโดยตรง ตามที่มีการตีปิ๊บมานานหลายสัปดาห์ .. ที่จับตามองกันคือ ความเคลื่อนไหวของขุมข่าย “กำนันเทือก”สุเทพ เทือกสุบรรณ เจ้าของพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ยังฝังตัวอยู่ในพรรค ประกาศท้าชิงตำแหน่ง“จ่าฝูงค่ายสีฟ้า”ตั้งแต่หัววัน .. หลัง ถาวร เสนเนียม อดีตรองหัวหน้าพรรค และอดีตแกนนำ กปปส.รับบท “ป๋าดัน”ประกาศผลักดัน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก ลงแข่งขัน ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแล้ว .. ข่าวว่า นอกจากเริ่มเปิดตัวผ่านโซเชียลแล้ว “หมอวรงค์”ยังจัดทำใบปลิว แจกแนะนำตัว ร่ายเรียงประวัติการทำงานส่วนตัวแจกไปยังสาขาพรรคด้วย
.. อีกทั้งยังมี “เสี่ยจ้อน”อลงกรณ์ พลบุตร อดีต รองหัวหน้าพรรคฯ แสดงตัวเป็น “ผู้ท้าชิง”อีกรายอยู่วงนอก .. แต่รายของ “เสี่ยจ้อน”ก็ติดทั้งปมที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค แล้วยังเคยเป็น อดีต รองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ไม่ได้ลาออกตามรัฐธรรมนูญกำหนด จนหมดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง ส.ส. สมัยหน้า .. จากความเคลื่อนไหวอย่างคึกคัก ทำให้ “คอการเมือง”คาดการณ์กันว่า ศึกนี้อาจจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์แตกอีกครั้ง เหมือนสมัย “กลุ่ม 10 มกราฯ”ในอดีต .. เห็นท่าไม่ดี “เสี่ยไก่”จุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค ก็เลยต้องออกมา “ดับไฟ”ทันทีว่า “ถาวร - วรงค์”ได้มาแสดงความจำนงค์กับ “หัวหน้ามาร์ค”แล้วว่า “จะสู้กันแบบพี่แบบน้อง” ..
ขณะเดียวกันก็มีข่าวแว่วๆ มาว่า การเปิดศึกกันเองภายใน “ค่ายสีฟ้า”อาจเป็นแค่ “ละครฉากหนึ่ง”..โดยมีหมุดหมายเพื่อ “สร้างภาพ”ความเป็น “สถาบันการเมือง”โดยเปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถเสนอตัวมาเป็นผู้บริหารพรรค .. ซึ่งก็ตรงตามวรรคทอง “พรรคนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่มีใครสั่งใครได้”ตามคำของ “เสี่ยไก่”นั่นเอง .. อันเป็นประเด็นที่ต้องการเลี้ยงไว้เพื่อ “บลัฟ”ขั้วตรงข้ามอย่าง “พรรคเพื่อไทย”ที่เป็นไปในลักษณะ “บริษัทจำกัด”ต้องรอ “คนแดนไกล”สั่งการเพียงอย่างเดียว .. จนน่าจะเป็นเหตุผลที่ “สายกำนัน”เลือกเชิด “หมอวรงค์”ที่พรรษาการเมืองไม่เท่าไร ขึ้นมาท้าชิง เพื่อไม่ให้สะเทือนกับเก้าอี้ “พ่อมาร์ค”เกินไป .. และอาจพูดได้ว่าหาก “แคนดิเดต”มีแค่ที่เป็นข่าว ที่สุดก็ยังเป็น “อภิสิทธิ์”ที่นอนมา ครองหัวหาด นำพรรคต่อไป .. น่าสนใจไปอีกถึงความสัมพันธ์ของ “คนกันเอง”ระหว่าง “อภิสิทธิ์” และ “สุเทพ”ที่ผูกพันกันมายาวนาน .. แม้ว่าแนวทางในระยะหลังจะ “สวนทาง”กันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีรายงานว่า ทั้งคู่ไม่ได้แตกหักกันอย่างที่คิด .. ถึงขนาดว่า มีการล็อกเก้าอี้โฆษกพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ ไว้ให้ “เสี่ยขิง”เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ลูกรักนอกไส้ของ “กำนันเทือก”ไว้แล้วด้วยซ้ำ .. ที่สายสัมพันธ์ยังตัดกันไม่ขาด ก็ด้วยเซียนการเมืองอย่าง “สุเทพ”รู้ดีถึง “จุดอ่อน”ของค่ายประชาธิปัตย์ ในวันที่ไม่มีตัวเองอยู่ .. โดยเฉพาะปัจจัย “ทุนรอน-น้ำเลี้ยง”ที่จะส่งผลให้ “ค่ายสีฟ้า”ลงสู้ศึกเลือกตั้งหนหน้าได้ไม่เต็มสูบเท่าที่ควร .. จาก “ข้อจำกัด” ตรงนี้เองที่ “สุเทพ”แหวกเข้าไปกลางใจ “อภิสิทธิ์”ให้ข้อคิดแบบ “ติดเบรก”.. อย่าถลำตัว ไปบู๊ล้างผลาญ ถึงขนาดคิดเอาชนะ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เอาแค่ประคองให้ได้เสียงไม่เป็น “พรรคต่ำร้อย”ก็พอ .. ตามคิวที่ “เขามาแน่”สู้ไปก็เปลืองตัว เลยชักชวนกันไปเป็น “นั่งร้านทหาร”เกาะเกี่ยววงจรอำนาจ ดีกว่าไปเป็นฝ่ายค้าน ให้อดอยากปากแห้ง .. แม้ “เดอะมาร์ค”จะอิดออด ด้วยออกตัวแรงไว้ว่า ไม่เอา“นายกฯคนนอก”แต่มองมุมไหน “ประชาธิปัตย์”ก็เข้าวินลำบาก หากเปลี่ยนใจหลังเลือกตั้ง ก็มีช่องให้ “ตีฝีปาก - กลืนน้ำลาย”ได้สารพัด .. ที่สำคัญเห็นว่า “ขุนทหาร”เปิดตำแหน่ง “ประธานที่ปรึกษานายกฯ”ไว้คอยท่า “ท่านอดีตนายกฯอภิสิทธิ์”ไว้แล้วด้วยนี่ซิ
ช.ชฎา