xs
xsm
sm
md
lg

เย้ย คสช. “หนุ่ย”ลางานไปตามก้น “ปู” ไล่ออกไม่ได้ ก็ต้องปลดพ้น “สันติบาล”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

“ต้องไล่ออกสถานเดียว” เสียงเพรียกจาก “ประชาชนเจ้าของภาษี” หลังเห็นภาพบาดตา เมื่อ “นายตำรวจในราชการ” ที่กิน “เงินเดือนหลวง” ไปทำตัวเป็น “เบ๊รับใช้” เดินถือถุงชอปปิ้งให้กับ “ผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญา”

จากภาพที่แชร์กันกระหึ่มสังคมออนไลน์เมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นภาพ “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ผู้หลบหนีโทษจำคุก กำลังเดินเข้าอาคารแห่งหนึ่ง โดยมีแฮกแทกประกอบว่า #เจอคุณยิ่งลักษณ์

โดยมีการเช็กอิน ระบุสถานว่า The Beaumont โรงแรมหรูใจกลางมหานครลอนดอน เมืองหลวงประเทศอังกฤษ

แต่ประเด็นที่สังคมไทยให้ความสนใจ ไม่ได้อยู่ที่ว่า “ยิ่งลักษณ์” หนีโทษจำคุกใช้ชีวิตหรูหราสุขสบายแค่ไหน ในขณะที่สมุนอย่าง บุญทรง เตริยาภิรมย์ - ภูมิ สาระผล ต้องโทษจำคุกแบบขังลืมในคดีเดียวกับเธอ เพราะรับรู้กันอยู่แล้วว่า เธอพำนักอยู่ที่นั่นเป็นหลัก หลังได้วีซ่าพักอาศัยจากทางการอังกฤษเป็นเวลา 10 ปี

ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น “น้องปู” ก็เพิ่งจัดปาร์ตี้วันเกิดครบ 51 ปี กับ “พี่แม้ว” ทักษิณ ชินวัตร ที่ร้านอาหารไทยชื่อดัง“อีสานเขียว” ในกรุงลอนดอนไปหยกๆ

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ “ชายหุ่นสมาร์ท” ที่ร่วมเฟรมกับ “คุณหนูปู” ต่างหาก เป็นชายที่มีใบหน้าละม้าย “ผู้กำกับหนุ่ย”พ.ต.อ.วทัญญู วิทยผโลทัย นายตำรวจคนดังไม่ผิดเพี้ยน

เป็น “ผู้กำกับหนุ่ย” อดีตนายตำรวจผู้ติดตาม ทักษิณ ชินวัตร สมัยเรืองอำนาจ ก่อนโอนมาเป็นบอดี้การ์ดให้ “น้องปู” ช่วงที่เป็นนายกฯ เป็น “ผู้กำกับหนุ่ย” เจ้าของสมญา “สารวัตรเทวดา” ที่ปัจจุบันยังรับราชการเป็น ผู้กำกับฝ่ายวิจัยและพัฒนา กองพัฒนาการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล (บช.ส.) อยู่ด้วย

คำถามถึงความเหมาะสมที่ “ตำรวจในราชการ” ไปเดินตามก้น “ผู้ร้ายหนีคดี” จึงตามมาทันที

แม้จะรู้ว่ามี “ข้อจำกัด” ที่คงไม่สามารถไปใช้อำนาจตำรวจไทย จับกุมกลับมาดำเนินคดีตามหมายจับในประเทศ แต่ก็ต้องถามว่าการไปแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับ “คนร้าย” มันสมควรหรือไม่

และก็ควรเกรงใจ “เงินภาษี” ที่มี “ประชาชนคนไทย” เป็น “นายจ้างตัวจริง” บ้าง

ดูท่าการกระทำที่ไม่เหมาะสมในครั้งนี้ก็คงไร้บทลงโทษใดๆ เหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาอีก ด้วยมีการระบุจาก พล.ต.ท. สราวุฒิ การพาณิช ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล (ผบช.ส.) ว่า ลูกน้องคนดังได้ยื่นลาราชการ ระหว่างวันที่ 25 มิ.ย. ถึง 13 ก.ค. ให้เหตุผลว่า ลาไปจัดการเรื่องที่เรียนของบุตร ที่ประเทศอังกฤษ

ก่อนปรากฎเป็นข่าวดัง และถูกยกเลิกการลา พร้อมรียกเข้ารายงานตัว และตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงภายใน 7 วัน
แต่ “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ก็ออกตัวไว้ให้เสร็จสรรพว่า การกระทำเช่นนี้ หากอยู่ในราชอาณาจักรไทย ถือว่าผิดกฎหมายอาญา แต่ในต่างประเทศกรณีนี้ถือว่า “ผิดวินัย”ซึ่งดูแล้วคงไม่มีบทลงโทษไล่ออกจากราชการ ให้สาแก่ใจ “ประชาชน” ที่เป็นนายจ้างตัวจริงแน่นอน

ไม่แปลกหรอกที่ “ผู้กำกับหนุ่ย” จะจงรักภักดีกับ “พี่น้องชินวัตร” ด้วยมีบุญคุณค้ำหัว อุ้มชูจนได้ดิบได้ดีบนถนนสีกากี จาก “ไอ้หนุ่ย” ที่ใช้ความสามารถด้านฟุตบอล จนได้เข้าโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 49 ในโครงการช้างเผือกของผู้มีความสามารถด้านการกีฬาเป็นเลิศ ก่อนบรรจุเป็นตำรวจครั้งแรกที่กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.)

ต่อมาจับผลัดจับผลูได้เข้าไปทำงานที่สำนักงาน พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีต ผบ.ตร. ระยะหนึ่ง ได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาร่วมทีมอารักขา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร (ยศขณะนั้น) สมัยเป็นนายกฯ โดยมี “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร รุ่นพี่จาก ตชด. เป็นหัวหน้าทีม

หลัง “ทักษิณ” ถูกยึดอำนาจปี 2549 “สารวัตรหนุ่ย” ทำท่าจะหมดอนาคต เมื่อถูก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร.ในขณะนั้น เซ็นคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 91/2551 ลงวันที่ 6 ก.พ.2551 ให้ไปเป็น สว.สป.สภ.กรงปินัง จ.ยะลา แต่ไม่นานนักก็มีคำสั่งจาก “พี่เมียทักษิณ” พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. (ขณะนั้น) ให้มาช่วยราชการสำนักงาน รอง ผบ.ตร.

แต่เมื่อ พรรคพลังประชาชน คว้าชัยชนะในการเลือกตั้ง “สารวัตรหนุ่ย” ก็กลับเข้าสู่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบอีกครั้ง ในตำแหน่ง สว.ฝขว.10 บก.ส.1 (บก.น.7) ทำหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัย “บ้านจันทร์ส่องหล้า” และดูแลรักษาความปลอดภัยของคนใน “ตระกูลชินวัตร” มาโดยตลอด และเป็นทีมอารักขาตั้งแต่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ ก่อนที่อำนาจจะพลิกขั้วไปเป็นของรัฐบาลประชาธิปัตย์

ช่วงนั้น “สารวัตรหนุ่ย” ได้โกอินเตอร์ไปทำหน้าที่การ์ดให้กับ “นายใหญ่ดูไบ” อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะถูกส่งกลับมาเป็นทีมอารักขา “ยิ่งลักษณ์” หลังชนะเลือกตั้งปี 2554

ถึงปี 2555 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เมื่อ “เพรียวพันธ์” ได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร. ได้เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง “นอกวาระ” ให้ “สารวัตรหนุ่ย” ที่ทำหน้าที่อารักขา “นายกฯปู” ขึ้นชั้น “รองผู้กำกับ” ที่ตำแหน่ง ผู้ช่วยนายเวร (สบ.3) ประจำ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร.

จนมีภาพชินตาที่ “ผู้กำกับหนุ่ย” ติดตาม “ยิ่งลักษณ์” เป็น “เงาตามตัว” ทั้งในและต่างประเทศ และไม่เพียงแต่อารักขาเท่านั้น ยังยกระดับเป็น “ทีมพีอาร์” คอยเก็บภาพ “นายกฯหญิงคนแรกของไทย” แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อส่งให้นักข่าวที่มักคุ้น ตลอดจนการอัพเดทผ่านสังคมออนไลน์ที่กำลังฮิตใหม่ๆ

จากความใกล้ชิดกับ “พี่น้องชินวัตร” ทำให้ “สารวัตรหนุ่ย” ได้รับ “สิทธิพิเศษ” เกินหน้าเพื่อนร่วมอาชีพอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อครั้งเข้าแบรมหลักสูตรผู้กำกับเมื่อปี 2556 ก็มีชื่อ โผล่ไปร่วมอบรมด้วย ทั้งที่ “คุณสมบัติไม่เข้าเกณฑ์” แต่ด้วยความที่ “เส้นใหญ่” ก็เลยได้เข้าอบรม โดยมีการ “ยกเว้นกฎ ก.ตร.” ที่กำหนดว่าต้องเป็นรองผู้กำกับครบ 2 ปีเสียก่อน ซึ่งเป็นการปูทางเพื่อขึ้นตำแหน่ง “ผู้กำกับ” ที่ ผู้ช่วยนายเวร (สบ 4) ประจำ พล.ต.อ.พงศพัศ รอง ผบ.ตร.

กระทั่ง “ยิ่งลักษณ์” ถูกยึดอำนาจปี 2557 ก็ยังปรากฎภาพ “ผู้กำกับหนุ่ย” ไปตามอารักขาทุกที่ จนเป็นประเด็นมาแล้วหนหนึ่ง ก่อนที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะแก้ต่างให้ว่า มีการขอตัวไปทำหน้าที่อารักขา “บุคคลสำคัญ” ตามระเบียบราชการแล้ว และอยู่โยง รปภ.ให้จน “ยิ่งลักษณ์” หลบหนีคดีผ่าน “ช่องทางธรรมชาติ” ไป โดยที่ “ผู้กำกับหนุ่ย” ปฏิเสธเสียงแข็งว่า ไม่รู้เห็นแต่ประการใด ทั้งที่ปรากฎภาพว่าตามติดเป็น “เงาตามตัว” มาตลอด

เมื่อเจ้านายโดยตำแหน่งอย่าง “พงศพัศ” ถึงเกษียณอายุราชการเมื่อปี 2559 “ผู้กำกับหนุ่ย” ก็หาได้สิ้นวาสนาไม่ ยังอยู่รอดปลอดภัยในหน้าที่การงาน โยกมารับตำแหน่ง ผู้กำกับฝ่ายวิจัยและพัฒนา ศูนย์พัฒนาด้านการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล

แม้จะดูเป็นตำแหน่ง “นั่งโต๊ะ” ที่ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ในระดับปฏิบัติการใดๆ แต่ต้องไม่มองข้ามความสำคัญของ “กองบัญชาการตำรวจสันติบาล” อันเป็นศูนย์รวมด้านข่าวกรอง โดยเฉพาะในแง่ความมั่นคงของประเทศ

จึงไม่น่าจะเป็นการดีที่จะให้ “สมุนเอก” ของ “ฝ่ายทักษิณ” มาอยู่ในจุดนี้ ที่เหมือนเป็นใจให้ “สปายฝ่ายตรงข้าม” มานั่งอยู่กลางศูนย์บัญชาการด้านการข่าวของรัฐบาลหรอกกระมัง.


กำลังโหลดความคิดเห็น