เมืองไทย 360 องศา
พิจารณาจากภาพที่เห็นภายนอกราวกับว่าเวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติอยู่ในอาการ"หัวเสีย"อยู่ตลอดเวลา อ้างว่าถูกวิจารณ์ถูกบิดเบือนให้ร้ายหลายๆเรื่อง จนต้องออกมาเปิดใจพรั่งพรูออกมาราวกับธารน้ำไหลเชี่ยวไม่มีผิด เหมือนกับการฟ้องชาวบ้านว่าตัวเองถูกบิดเบือนถูกรังแก
แม้ว่าท่วงท่าจะออกมาในทำนองดุดันแบบอารมณ์"บูด"ต่อเนื่องกันสามสี่วัน ซึ่งมันก็พออธิบายได้ว่าในช่วงเวลาแบบนี้ ผ่านมาตั้ง 4 ปี และด้วยสถานะแบบ"ผู้นำเผด็จการเต็มขั้น"แบบนี้ยืนระยะได้นานขนาดนี้ก็น่าจะภูมิใจแล้ว เพราะถึงอย่างไรหากสังเกตให้ดีถึงจะมีเสียงวิจารณ์จากข้างนอกไม่ว่าจะมาจากปากนักการเมือง จากโชเชียลมันก็ได้แค่ลมปาก หรือแอบด่าเท่านั้น ทุกอย่างยังอยู่ในความควบคุมอย่างเข้มงวด
และแม้ว่าอารมณ์บูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าสะท้อนออกมาจากข้างใน หรือว่าเป็นการ"แสดงทางการเมือง"บางอย่าง เพราะอย่างน้อยภายใต้อารมณ์บูดดังกล่าวมันก็ใช้ในการอ้างเหตุผลว่า"สถานการณ์ยังไม่ปกติ" และยัง"ไฟเขียวปลดล็อก"ให้พวกนักการเมืองทำกิจกรรมได้ตามปกติ หากพรรคการเมืองจะหารือเสียงหรือประชุมพรรคต้องขออนุญาตก่อน ความหมายก็คือจะทยอยปลดล็อกทีละขยัก ยังไม่ปล่อยเสรี แม้ว่าจะกำหนดแน่นอนแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งในเกือนกุมภาพันธ์ปีหน้าก็ตาม ซึ่งก็นั่นแหละการกำหนดวันเลือกตั้งดังกล่าวอีกทางหนึ่งมันก็เหมือนกับ"ลดเงื่อนไข"ปลุกกระแส"อยากเลือกตั้ง"ลงไปได้ถนัดไปในคราวเดียวกัน
ขณะเดียวกันแม้ว่าด้วยเวลาที่เหลือของรัฐบาล พล.องประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีเหลือจำกัดอีกแค่ไม่เกิน 8 เดือนข้างหน้าเท่านั้น อย่างไรก็ดีหากพิจารณากันตามความเป็นจริงผลงานของรัฐบาลชุดนี้ก็เริ่มออกดอกเห็นผลมากขึ้นเหมือนกัน อย่างน้อยตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือจีดีพีก็ขยายตัวดีในรอบ 4-5 ปีทีผ่านมา พวกโครงการโครงสร้างพื้นฐานกำลังทยอยสร้าง ทยอยเสร็จ เชื่อว่าภายใน 3-4 ปีข้างหน้าการเดินทาง การคมนาคมทั่วประเทศจะพลิกโฉมไปไกลเหมือนกัน
สำหรับเรื่องเศรษฐกิจที่พูดกันว่า"เป็นจุดอ่อน"ของรัฐบาลนั้น ที่จริงมันก็อ่อนกับรัฐบาลทุกชุดนั่นแหละ แต่สำหรับ"ทีมเศรษฐกิจ"ที่นำโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ตอนแรกถูกโจมตีว่าอุ้มแต่คนรวย ซึ่งในช่วงแรกอาจมองได้แบบนั้น แต่ในช่วงหลังเริ่มลุย"ฐานราก"แบบเน้นๆ อย่างเรื่อง"บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ"ที่ปูพรมกับคนจนไปทั่วประเทศแบบถึงตัวไม่ค่อยพลาดเป้า เพราะมีการขึ้นทะเบียนตามครัวเรือนไม่ใช่แบบหว่าน มันทำให้เกิดการต่อยอดตามมาหลังจากนั้นหลายโครงการ เช่นในนามของ โครงการ"ประชารัฐ" แบบไทยนิยมนยั่งยืน อะไรก็ว่ากันไป แต่งานนี้ ถือว่าไม่ธรรมดา
แม้ว่าจะ"ลอกแบบของจีน"มาก็ตาม แต่เมื่อมันได้ผลเชื่อว่า รัฐบาลคงไม่สนใจอยู่เน้นแต่ผลสัมฤทธิ์ อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ราคาสินค้าเกษตรตัวหลักก็เริ่มเป็นใจ เช่น ราคาข้าวที่หลังจากระบายข้าวค้างสต็อกจากโครงการรับจำนำข้าวเกลี้ยงคลังทำให้แรงกดดันเรื่องราคาหมดไป ทำให้มีการระบายออกไปต่างประเทศได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจนเวลานี้ราคาข้าวถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ในรอบหลายปี ไม่ต่างจากราคาข้าวโพด มันสัมปะหลัง ที่พุ่งกระฉูด ยังเหลือแต่ปาล์มน้ำมัน กับยางพารา ที่แม้จะยังไม่ฟื้น แต่สำหรับปาล์มน้ำมันแล้วน่าจะมีแนวโน้มที่ดี หรือแม้แต่ยางหากราคาน้ำมันสูงขึ้นมันก็จะดึงให้ราคายางสูงตามไปด้วย
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้เริ่มได้เห็นการเคลื่อนไหวบางอย่างออกมาให้เห็น นั่นคือ"มวลชน"ที่ออกมา ล่าสุดที่เห็นได้ชัดก็คือการที่มวลชนที่บอกว่าเป็น"กองหนุนลุงตู่"และ "เอฟโอเอส"หรือ"เพื่อนของสมคิด" ที่บอกว่านี่คือชาวนาประชารัฐ แม้ว่าสำหรับคอการเมืองแล้วย่อมมองออกว่านี่คือ"มวลชนจัดตั้ง"ก็ตาม แต่มันก็ถือว่าได้เห็นแง่มุมบางอย่าง ที่เหมือนกับส่งสัญญาณให้เห็นว่า งานนี้ "ลุงตู่"เอาจริง และยังมองเห็นไปถึงพรรค"ประชารัฐ"ในอนาคตอีกด้วย
อีกด้านหนึ่งเมื่อได้เห็นมวลชนที่เป็น"ชาวนาประชารัฐ" นั่นก็ย่อมหมายถึงมวลชนที่เป็นชาวนารากหญ้า ซึ่งในทางการเมืองมันก็เหมือนกับการตีตลบหลังฝ่ายตรงข้ามที่รู้กันอยู่เมื่อพูดถึงชาวนา ก็ต้องนึกไปถึงจำนำข้าว แต่เมื่อเปลี่ยนไปแบบนี้เหมือนกับกลับตาลปัตรไปอีกทางหนึ่งแล้ว อย่างน้อยก็ถือว่าเครือข่ายประชารัฐทะลุทะลวง"เครือข่ายแม้ว"ลงไปได้ไม่น้อยแล้ว และหากเวลาที่เหลือสามารถดึงราคาสินค้าเกษตรตัวหลักขึ้นมาได้ก็น่าจะทำให้โอกาสที่ "ลุงตู่"กลับมาอีกรอบไม่ใช่เกินเอื้อม !!