“ดอน” ไม่ลาออกไม่กดดัน รอให้ศาล รธน.ตัดสินระบุภรรยาได้เคลียร์หุ้นเรียบร้อยแล้ว ย้ำเป็นหุ้นในครอบครัวที่ได้รับมา 37 ปีแล้ว พร้อมเผยกำหนดการนายกฯ เยือนอังกฤษ-ฝรั่งเศส ปลายเดือนนี้ ชี้เป็นการเปิดประตูต้อนรับไทย เผยเนื้อหอมมีหลายชาติยุโรปและเอเชียติดต่อมาเยือน
วันนี้ (5 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์กรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเห็นว่าการการถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ของภรรยาโดยไม่แจ้ง ป.ป.ช. ขัดต่อคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี จนมีกระแสกดดันให้ลาออกว่า ถ้าตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งก็คงไม่มาร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ และคงไม่เดินมาในช่องทางนี้ที่เคยมาประจำ ทั้งนี้ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องดังกล่าวกับนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมาได้คุยกันในหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น
เมื่อถามว่ายืนยันจะปฏิบัติหน้าที่ต่อใช่หรือไม่ นายดอนกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า คำตอบอยู่ในใบหน้านี้แล้ว ไม่รู้สึกกดดัน เพราะกระแสกดดันเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างสรุปกัน ส่วนเรื่องนี้ก็ค่อยว่ากันไป ตอนนี้ยังไม่มีอะไร ต้องรอให้มีความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญก่อน เราตอบได้เพียงตามกระแสข่าว
“แรงกดดันที่ใครต่อใครพูดถึงจะตีความว่าเป็นการกดดันหรือไม่ ก็อยู่ที่เรา จะถือว่าเป็นการกดดันหรือทักทาย หรือการแสดงความห่วงใย สนใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ อยู่ที่ว่าเราจะคิดเห็นอย่างไร ขณะนี้ผมก็อย่างที่ว่า คำตอบอยู่บนใบหน้าแล้ว ยืนยันว่าไม่กดดัน เราก็ทำงานของเราไป อย่างไรก็ตาม เรื่องหุ้นนั้นภรรยาได้เคลียร์เรียบร้อยแล้ว โดยหุ้นนี้เป็นมรดกของครอบครัวภรรยา” นายดอนกล่าว
เมื่อถามว่าขณะนี้ภรรยาถือกี่เปอร์เซ็นต์ นายดอนกล่าวว่า ถือน้อยว่า 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนของลูกชายตนไม่รู้เรื่อง เพราะจริงๆ แล้วตนไม่เคยรู้เลยว่าภรรยามีหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ อะไรบ้าง เพราะเขารับมรดกมาเป็นเวลากว่า 37 ปีแล้ว เป็นของครอบครัว แต่เมื่อกฎหมายบอกว่าต้องไม่ถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ก็ต้องดำเนินการไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายดอนให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ภายหลังการให้สัมภาษณ์ยังชูนิ้วโป้ง ให้สื่อมวลชนเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่รู้สึกกดดัน
นอกจากนี้ นายดอนกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการจะเดินทางการเยือนอังกฤษและฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 20-25 มิถุนายนนี้ ขณะนี้ยังรอความชัดเจนว่าจะต้องมีการหารือในด้านใดบ้าง โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมตัวอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่มีการปรับความสัมพันธ์กัน และได้พูดคุยเบื้องต้นกันแล้วในเดือนมีนาคม การเยือนครั้งนี้ถือว่าทั้ง 2 ประเทศได้เปิดประตูต้อนรับไทย เราจะพูดคุยในหลายๆเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อชาติ นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งเอเชียและยุโรปติดต่อมาเพื่อจะเดินทางเยือนไทยด้วย