เลขาสภาฯ นำทีมตั้งโต๊ะแถลง โอดหวังสร้างสภาไร้สาย กันสมาชิกไฟช็อตตาย แต่ไปไม่ถึงฝัน ชี้งบไอทีล่าช้าเรื่องใหญ่แน่ รื้ออาคารใหม่อีกรอบ ทำหัวหน้าส่วนตายอย่างเดียว หวั่นสังคมยำเละ ไม่รู้เอาหน้าไปไว้ไหน ด้านรองเลขาฯ อ้างหวังใช้นาฬิกาหรูช่วยกู้ชีพสมาชิกได้ทันท่วงที
วันนี้ (18 พ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. นายสรศักดิ์ เพียรเวช เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะร่วมกันแถลงข่าวภายหลังการประชุมเกี่ยวกับการปรับลดงบประมาณระบบไอทีของอาคารรัฐสภาใหม่ หลังจากที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทบทวนปรับลดงบประมาณเพิ่มเติม โดยนายสรศักดิ์กล่าวว่า ตนไม่ดื้อกับ ครม.และพร้อมที่จะทบทวนให้อยู่ในความเหมาะสมและจะรับมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อไป ซึ่งบริษัท ซิโน-ไทยยืนยันว่าการย้ายรัฐสภาอู่ทองในจะสามารถทำได้ภายในเวลาที่กำหนด โดยห้องประชุม ส.ว.จะเสร็จภายในปี 61 นี้ และจะเร่งดำเนินการในส่วนของห้องประชุม ส.ส.ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมีนาคม 62 พร้อมกับห้องทำงานของข้าราชการ ห้องทำงานสมาชิก และห้องประชุมกรรมาธิการก็จะเสร็จเพื่อรองรับส.ส.ที่จะมาจากการเลือกตั้งตามโรดแมปเดือน ก.พ. 62 ได้ทัน
“เมื่อ ครม.ทักท้วงมาวันนี้ผมไม่เอาแล้วครับ ทั้งไมโครโฟน ทีวี นาฬิกาที่มีราคาแพง แต่จะปรับลดทบทวนทุกเรื่องเพื่อลดงบประมาณลงมาตามความจำเป็นและความเหมาะสม คิดแล้วว่าเราคงไปไม่ถึงระบบ 4K คงอยู่ได้แค่ดิจิทัล หรือยุคแอนะล็อก เมื่อก่อนเราคิดว่าห้องประชุมในอนาคตจะเป็นห้องประชุมไร้สาย เพราะเผื่อเวลาฝนตกแล้วไฟช็อตสมาชิกตายจะทำอย่างไร ดังนั้นเราถึงได้ออกแบบคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อให้รัฐสภาแห่งใหม่ดี เรื่องไอซีทีถ้าลดได้ก็ต้องลด แต่ระบบสื่อสารในอาคารรัฐสภาจะต้องไม่กระทบหรือล้มเหลว”
นายสรศักดิ์ยังกล่าวอีกว่า บริษัท ซิโน-ไทย ทำหนังสือขอสงวนสิทธิ์เรียกค่าเสียหายในการทำงานปิดฝ้าเพดานและผนังควบคู่ไปกับระบบไอที ซึ่งถ้างบไอทียังไม่มาและบริษัทจะต้องปิดฝ้าแล้ว เขาจะต้องเรียกค่าเสียหายเป็นมูลค่าพันล้าน ซึ่งตนหนักใจ แต่คิดว่าตอนนี้จะต้องคุยกับบริษัทดังกล่าว ขอให้เขาเห็นแก่ประโยชน์ราชการ โดยขอให้ผู้รับเหมาอย่าเพิ่งปิดฝ้าเพดาน ทั้งนี้ตนคิดว่าทุกปัญหามีทางออก เมื่อถามถึงแผนการจัดการหากงบไอทีไม่มา แต่จะต้องมีการปิดฝ้าเพดานและผนังจะทำอย่างไร นายสรศักดิ์ชี้แจงว่า ตนกินไม่ได้ นอนไม่หลับก็เพราะบริษัท ซิโน-ไทย ทำหนังสือมาถึงจะเรียกร้องค่าเสียหาย หากงบไอทีมาทีหลังก็จะเป็นเรื่องใหญ่เพราะจะต้องทุบตึกที่บริษัท ซิโน-ไทยสร้างไว้
“นั่นหมายความว่าจะมีความเสียหายเกิดขึ้น และผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน สร้างตึกใหม่เสร็จก็เหมือนมาปรับปรุงตึกใหม่อีก หัวหน้าส่วนตายอย่างเดียวเลย ทุกกระทรวง ทบวง กรม สังคมยำเละ ตอนนี้ก็เชื่อว่าน่าจะมีทางออก แต่ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร”
ขณะที่นายโชติจุฑา สอนอาจ ที่ปรึกษาบริหารโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ กล่าวว่า หากการอนุมัติงบในส่วนของไอทีล่าช้า จะทำให้เสียเวลาไป 3-4 เดือน จากเดิมที่เริ่มติดตั้งระบบไอทีตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา เมื่อเป็นเช่นนี้กว่าจะเริ่มติดตั้งได้อาจจะประมาณเดือน ส.ค. หรือ ก.ย. ไม่มั่นใจว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จตามกำหนดหรือไม่
ด้านนายสุชาติ โรจน์ทองคำ รองเลขาธิการสภา ผู้ควบคุมดูแลและรับผิดชอบการปฏิบัติการในสำนักรักษาความปลอดภัยและโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ พร้อมอาคารประกอบ กล่าวว่า สำหรับแนวทางในการปรับลดงบประมาณนั้น ตนได้มอบหมายให้บริษัท เมอร์ลิน โซลูชั่น ซึ่งเป็นผู้ออกแบบและศึกษาระบบไอทีให้กลับไปทบทวนและศึกษาใหม่อีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งจะใข้เอกสารที่เสนอต่อ ครม. ซึ่งมีการเปรียบเทียบราคากลางไว้เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นมาตรฐานในการปรับลดด้วย โดยจะยึดหลักระบบจะต้องตอบสนองการทำงานของสมาชิกรัฐสภา นายสุชาติกล่าวว่า การทำงานของสภาแต่ละอย่างมีเรื่องของคุณภาพงานประกอบด้วย เราซื้อของในราคาที่ถูก แต่คุณภาพไม่ได้ก็มีปัญหาตามมา ของที่ใช้ทั้งหมดนอกเหนือจากการใช้ปกติ การประชุมมีทั้งวัน ทั้งคืนแต่เราใช้ของคุณภาพที่ต่ำ ก็ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เราก็ต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น คุณภาพของเราต้องได้มาตรฐานที่สามารถยืนระยะในการใช้งานได้ตามภาระกิจ ซึ่งตนยึดถือภารกิจของงานเป็นหลัก เรื่องของนาฬิกาหรืออะไรทั้งหมด ถ้าจำเป็นก็คงต้องยอมรับว่าต้องมี แต่เมื่อดูแล้วความจำเป็นกับราคาและความเหมาะสมหากต้องลดก็ลดเลย แต่ถ้ายังคงมีก็ต้องตอบสังคมให้ได้ว่าเหตุผลที่บริษัท เมอร์ลิน เสนอมาทั้งหมดเป็นอย่างไร ตนจะต้องทำมาทบทวนใหม่ทั้งหมดและไม่ใช่เฉพาะ 4-5 โครงการที่มีปัญหา จะดูภาพรวมทั้งหมดว่างบที่เสนอไปในส่วนไหนที่จะทบทวนได้บ้าง ถ้าทบทวนนอกเหนือจากที่มีข้อท้วงติงมาก็จะนำเสนอเลขาและเข้าคณะกรรมการพิจารณาอีกครั้ง ทั้งนี้คาดว่าจะสรุปได้ภายในสัปดาห์หน้า
เมื่อถามว่านาฬิการาคา 7 หมื่นกว่าบาท เหมือนกับนาฬิกาสมัยนายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย อดีตเลขาธิการสภา จัดซื้อหรือไม่ นายสุชาติกล่าวยอมรับว่ามีลักษณะคล้ายกัน แต่ในตัวเรือนเราไม่รู้ว่าเทคโนโลยีมีมากน้อยแค่ไหน ที่ทราบคือตัวเรือนไม่แพง แต่ไปแพงในเรื่องของระบบ ยิ่งมากชั้นสายที่ต่อไปแต่ละชั้นก็จะแพงขึ้น แต่ในยุคนายสุวิจักขณ์ที่โดยตั้งกรรมการสอบไม่ใช่เพราะนาฬิกามีราคาแพง แต่ที่ยกเลิกเพราะบริษัทที่นำมาเสนอขายคุณสมบัติผิด คือไม่มีคุณสมบัติในการเป็นผู้จำหน่ายนาฬิกา แต่ไปสอดไส้ว่าตัวเองมีคุณสมบัติ ข้าราชการที่จัดซื้อจัดจ้างถูกตั้งกรมการสอบ เพราะไม่ได้สอบในรายละเอียดลงลึกว่าบริษัทมีคุณสมบัติถูกต้องหรือไม่ เรื่องนาฬิกาตนบอกกับเลขาธิการสภาฯ ว่ามีความจำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องมีนาฬิกาทั้งสภาจำนวนเงินล้านกว่าบาท แม้จะเป็นเงินไม่มากเท่าไหร่ก็ต้องพิจารณา ต้องพิจารณาตรงนี้เป็นหลักเช่นกัน
“มีการพูดถึงเรื่องระยะเวลาในการช่วยเหลือเวลาเกิดอุบัติเหตุกะทันหันกับสมาชิกในการเรียกรถพยาบาลว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เวลาต้องตรงกัน และหากไปตรวจสอบแล้วพบว่ามีความจำเป็นก็จะคงไว้ แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ต้องตัดไป แต่ระบบนี้ได้ตรวจสอบแล้วพบว่าที่ศาลฎีกาที่ก่อสร้างใหม่ และอีกหลายส่วนราชการที่ก็มีการใช้นาฬิการะบบนี้อยู่” นายสุชาติกล่าว