xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” ร่ายกลอนให้เป็นหลักคิดร่วมกันพัฒนาประเทศ ย้ำจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ชาติ20ปี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นายกฯ ฝากกลอนให้เป็นหลักคิดร่วมกันพัฒนาบ้านเมือง ย้ำจำเป็นต้องมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการวางรากฐานการพัฒนาและการลงทุนเพื่ออนาคต

วันนี้ (11 พ.ค.) เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ แห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า รัฐบาลจำเป็นต้องจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว 20 ปี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการวางรากฐานการพัฒนา และการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมองถึงผลประโยชน์ของประชาชนในภาพรวมทั้งประเทศ ส่วนในระดับกลุ่มจังหวัด จังหวัดก็จำเป็นต้องมีแผนพัฒนาในลักษณะที่คล้ายๆ กัน ที่สามารถจะแก้ปัญหาให้กับท้องถิ่นของตนในปัจจุบัน และตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างยั่งยืนและทั่วถึง โดยอาศัยศักยภาพของตน ประกอบกับการสนับสนุนจากรัฐบาล ที่ต้องพูดจากัน เพื่อให้เกิดการประสานสอดคล้อง เหมือนเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า ที่เล่นตามโน้ตของตน แต่ออกมาเป็นเพลงเดียวกันทั้งวง ที่สำคัญต้องคิดให้ครบวงจร เพราะไม่อยากให้เป็นเหมือนบางโครงการในอดีต ที่คิดแต่เรื่องสร้าง แต่ไม่คิดเรื่องการบริหารจัดการหลังจากนั้น เพื่อให้เกิดรายได้ สร้างมูลค่าเพิ่ม และความคุ้มค่า ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องจัดลำดับความจำเป็น ความสำคัญ ความเร่งด่วน ในภาพรวมอะไรที่ยังรอได้ อะไรที่รอไม่ได้ การใช้จ่ายงบประมาณต้องมีวินัยการเงินการคลัง ซึ่งอาจไม่ตอบสนองทุกความต้องการ แต่ก็จะไม่สร้างภาระเกินแบกให้กับรัฐบาลในอนาคตด้วย

นายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า ขอฝากบทกลอนถึงพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นหลักคิดในการร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน อย่ามองว่าแต่งดี ไม่ดี แต่งผิด แต่งถูก อะไรทำนองนี้ ขอให้ดูสาระ ผมอยากให้ทุกคนได้ลองคิดดูนะครับ

ทำการเมือง เป็นพลัง ไว้สร้างบ้าน
ไม่ก่อการ ขัดแย้ง ทุกแห่งหน
ประชาธิปไตย ใหญ่หลวง เพื่อปวงชน
ใช่พร่ำบ่น ให้คนไทย ไร้กฎเกณฑ์

ทุกโครงการ ปฏิรูป ช่วยสานต่อ
เหมือนถักทอ เส้นไหม ให้เป็นผืน
ทั้งย้อมสี ลวดลาย ให้กลมกลืน
ไทยต้องตื่น รู้เท่าทัน อันตราย

รัฐบาล คสช. ทำทุกอย่าง คงไม่ไหว
ไทยช่วยไทย ประชารัฐ เร่งขวนขวาย
พ้นยากจน ทนลำบาก ยากใจกาย
สู่เป้าหมาย ปลายทาง ไทยยั่งยืน

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [11 พฤษภาคม 2561]

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม ศกนี้ จะมีพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ บริเวณมณฑลพิธีท้องสนามหลวง ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับเมืองไทยของเราที่เป็นชาติเกษตรกรรม ซึ่งสะท้อนถึงความผูกพันอันใกล้ชิด ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้เป็นพระราชพิธีประจำปี ที่สืบทอดมายาวนานตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย จวบจนปัจจุบันนี้ เพื่อความเป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญเกษตรกรให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก โดยนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นฤดูทำนา อันเป็นอาชีพหลักของประชาชนคนไทย

นอกจากนี้ วันพืชมงคลถือเป็นวันเกษตรกรประจำปีอีกด้วย ทั้งนี้ นับเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ได้ทราบข่าวจากสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยว่า ครึ่งปีแรกประเทศไทยครองแชมป์ส่งออกข้าวได้เป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกข้าวได้กว่า 4.99 ล้านตัน และกรมการค้าต่างประเทศรายงานว่า ได้ปรับเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 9.5 ล้านตัน เป็น 10 ล้านตัน เป็นผลให้ราคาข้าวไทยปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และข้าวหอมมะลิราคายังคงอยู่ในระดับสูง ที่ผ่านมาเราชนะการประมูลขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐของฟิลิปปินส์ปริมาณ 120,000 ตัน และยังสามารถชนะการประมูลของอินโดนีเซียได้อีกกว่า 200,000 ตัน รวมทั้งเรายังจะมีการส่งมอบข้าวให้กับจีนแบบรัฐต่อรัฐ งวดที่ 5 อีกกว่า 100,000 ตัน ซึ่งคาดว่าจะส่งมอบเสร็จภายในเดือนนี้ เชื่อว่าการส่งออกข้าวไทยจะดีขึ้น และราคาจะดีต่อเนื่องนะ

อย่างไรก็ตาม ก็ขอให้พี่น้องเกษตรกร ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่ ได้ติดตามข่าวสารและคำแนะนำจากทางราชการอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนการผลิตและการขายอย่างเหมาะสมด้วย ต้องระมัดระวังนะถ้าปริมาณมากเกินไป ราคาก็ตกลง ถึงจะขายข้าวได้มาก ราคาก็ยังคงได้น้อยอยู่เพราะเราไปแข่งขันใครไม่ได้นะรวมไปถึงในเรื่องของการลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญกับนโยบายตลาดนำการผลิต ในขณะเดียวกันก็นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในทุกวงการ รวมทั้งวงการเกษตรกรรมของไทย เพื่อให้สามารถพยากรณ์ และประมวลผลข้อมูล ที่มีความเชื่อมโยงกัน ทั้งในเรื่องทรัพยากรน้ำ สภาพลมฟ้าอากาศ รวมไปถึงตลาดสินค้าเกษตรต่างๆ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการในภาพรวมได้ ไม่ต้องประสบกับสภาวะขาดแคลนน้ำ ปริมาณการผลิตหรือราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ จนเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เหมือนที่ผ่านๆ มาอีก ก็ขอความเข้าใจและร่วมมือกัน ไม่ใช่ต่างคนทำ ต่างเอาตัวรอด เพราะรัฐบาลต้องการบริหารให้ทุกคนรอด ทุกคนมีความสุข โดยเราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

พี่น้องประชาชนที่รัก เมื่อต้นสัปดาห์ ผมและคณะรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อติดตามผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และรับฟังเสียงสะท้อนปัญหาความ เดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่นะครับ ซึ่งก็รวมไปถึง 4 จังหวัด ทั้งหมด ซึ่งอยู่ในกลุ่มอีสานตอนล่าง โดยอาศัยหลากหลายเวที สำหรับหารือแนวทางแก้ไขปัญหาและรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน อีกทั้งสร้างความเข้าใจให้ตรงกัน ถึงกลไกการบริหารราชการแผ่นดิน ที่รัฐบาลเองจำเป็นต้องจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว 20 ปี เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการวางรากฐานการพัฒนา และการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมองถึงผลประโยชน์ของประชาชนในภาพรวมทั้งประเทศ ส่วนในระดับกลุ่มจังหวัด จังหวัดก็จำเป็นต้องมีแผนพัฒนาในลักษณะที่คล้ายๆ กัน ที่สามารถจะแก้ปัญหาให้กับท้องถิ่นของตนในปัจจุบัน และตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนได้อย่างยั่งยืนและทั่วถึง โดยอาศัยศักยภาพของตน ประกอบกับการสนับสนุนจากรัฐบาล ที่ต้องพูดจากัน เพื่อให้เกิดการประสานสอดคล้อง เหมือนเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่า ที่เล่นตามโน้ตของตน แต่ออกมาเป็นเพลงเดียวกันทั้งวง ที่สำคัญต้องคิดให้ครบวงจร เพราะผมไม่อยากให้เป็นเหมือนบางโครงการในอดีต ที่คิดแต่เรื่องสร้าง แต่ไม่คิดเรื่องการบริหารจัดการหลังจากนั้น เพื่อให้เกิดรายได้ สร้างมูลค่าเพิ่ม และความคุ้มค่า เป็นต้น ดังนั้น รัฐบาลจำเป็นต้องจัดลำดับความจำเป็น ความสำคัญ ความเร่งด่วน ในภาพรวมอะไรที่ยังรอได้ อะไรที่รอไม่ได้ การใช้จ่ายงบประมาณต้องมีวินัยการเงินการคลัง ซึ่งอาจไม่ตอบสนองทุกความต้องการ แต่ก็จะไม่สร้างภาระเกินแบกให้กับรัฐบาลในอนาคตด้วย

สำหรับการประชุมผู้แทนองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้บริหารท้องถิ่น และเกษตรกร กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 หรือกลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ นั้น ก็ทำให้คณะรัฐมนตรีได้รับทราบข้อมูลเชิงลึก ได้เห็นศักยภาพของกลุ่มจังหวัดนี้ทั้งหมด ซึ่งจะถูกนำมาพิจารณาเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ชาติต่อไป หลายอย่างก็อยู่ในแผนงานโครงการ ซึ่งมีงบประมาณรองรับแล้ว บางอย่างก็ต้องจัดลำดับความเร่งด่วนใหม่ บางอย่างต้องกลับมาพิจารณาศึกษาให้รอบคอบ ทุกมิติ ทุกวงจรก่อนนะครับ ซึ่งรายละเอียดได้มีรายงานข่าวไปแล้วในช่วงต้นสัปดาห์

ทั้งนี้ ผมขอย้ำว่า รัฐบาลได้เห็นความสำคัญ เห็นศักยภาพและโอกาสสูงที่จะขับเคลื่อนและยกระดับให้กลุ่มจังหวัดนี้เป็นประตูสู่อีสานและ CLMV เพื่อเชื่อมโยงกับแนวระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก EEC ตามที่พวกเรามุ่งหวังกันไว้ ผมเห็นว่ากุญแจสู่ความสำเร็จก็คือการดำเนินการตามนโยบายประชารัฐ ที่รัฐบาลนี้ได้พยายามผลักดันอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมียุทธศาสตร์พลังประชารัฐ 4 เสาหลัก คือ ธรรมาภิบาล นวัตกรรมและผลิตภาพ การยกระดับคุณภาพทุนมนุษย์ และการมีส่วนร่วมในความมั่งคั่ง ทั้งนี้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาคุณภาพคน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อันเป็นเป้าหมายสุดท้ายที่เราต้องการ โดยน้อมนำยุทธศาสตร์ในด้านการพัฒนาก็คือ เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาเป็นแนวทางในการดำเนินงาน คือการเข้าใจ พื้นที่ เข้าใจประชาชน เข้าใจศักยภาพ คือการบริหารงานเป็นภาค เป็นกลุ่มจังหวัด เป็นจังหวัด อย่างแท้จริง ซึ่งทั้ง 4 จังหวัดก็จะได้รับการพิจารณาอนุมัติโครงการต่อไป ในการนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม. ทั้งของแต่ละจังหวัดที่เร่งด่วน และกลุ่มจังหวัดที่มีกิจกรรมเชื่อมโยงกัน ไม่ใช่ว่ามองว่าให้จังหวัดนี้มากกว่าจังหวัดโน้น หรือจังหวัดนี้ไม่ได้อะไรเลย คงเป็นไปไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ไปประชุม ครม.นอกสถานที่ ทุกจังหวัดในกลุ่มจังหวัดก็เสนอมา ไป 1 จังหวัด 4 จังหวัดก็ประชุมด้วย หรือทุกๆ จังหวัดเข้ามาประชุมด้วย โดยผู้ว่าฯ เข้ามาประชุมด้วยในที่ประชุมร่วมกับฝ่ายภาคเอกชน ธุรกิจด้วย สภาเกษตรกรอะไรต่างๆ เข้ามาหมด การค้าอุตสาหกรรม เพื่อเสนอโครงการเข้ามาให้พิจาณาในภาพรวม ที่ผ่านมาเราอนุมัติในลักษณะนี้ทั้งหมด

พี่น้องประชาชนทุกท่านครับ ผมขอยกตัวอย่างโครงการประชารัฐ และผลสัมฤทธิ์ที่น่าสนใจ จากการลงพื้นที่ในครั้งนี้มาเล่าให้ฟังคร่าวๆ เพื่อให้เห็นแนวทางการทำงาน และเรามีความหวังที่ปลายทางดังนี้

1. โครงการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันเกษตร อุตสาหกรรม และแปรรูป ได้แก่ การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผักตบชวา เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาผักตบชวาที่ยั่งยืน โดยน้อมนำ ศาสตร์พระราชาฯ มาเป็นหลักคิด และอาศัยพลังประชารัฐมาเป็นกลไกในการปฏิบัติในการนำวัชพืชที่ไร้ค่ามาใช้ประโยชน์ ด้วยการแปรรูปเป็นสินค้าเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม เป็นยิ่งกว่าการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน โดยประยุกต์ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนพื้นที่และสถานการณ์ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหน่วยบัญชาการทหารพัฒนากองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกับ ดร.ไพจิตร แสงไชย ผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพ ที่ได้รับรางวัลผู้ประดิษฐ์เทคโนโลยี และนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ช่วยแก้ปัญหาสังคมของ World Economic Forum ได้จัดทำโครงการต้นแบบการแปรรูปผักตบชวา เป็นวอลเปเปอร์ 3 มิติ ฝ้าเพดาน อิฐดินประสาน อิฐมอญ แผ่นพื้นทางเท้า งานจักสาน เฟอร์นิเจอร์ งานศิลปะจากผักตบชวาอื่นๆ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์แปรรูปเหล่านี้จะดำเนินการด้านมาตรฐานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจดสิทธิบัตรต่อไป เช่น ดินปลูกปลอดสารเคมี และปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งมีผักตบชวาเป็นส่วนผสมสำคัญที่ผ่านการวิเคราะห์ และประเมินคุณภาพจากกรมพัฒนาที่ดินแล้ว

รวมทั้งการใช้ผักตบเป็นวัสดุทดแทน เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกสามารถลดต้นทุนการผลิตลง 20 - 30% และราคาขายถูกกว่าวัสดุในท้องตลาด 80-100% เช่น ฝ้าเพดานแผ่นเรียบปกติราคาแผ่นละ 140 บาท แต่ฝ้าเพดานจากผักตบชวา จะมีต้นทุนเพียงแผ่นละ 65 บาทเท่านั้น พื้นแผ่นทางเดินเท้าราคาตลาดแผ่นละ 70 บาท ลดต้นทุนได้ ครึ่งหนึ่ง เหลือแผ่นละ 35 บาท อิฐบล็อกประสานผักตบชวาราคา 4.50 บาทต่อก้อน ในขณะที่ราคาตลาด 10 - 12 บาทต่อก้อน เป็นต้น อย่าลืมศึกษาการตลาดก่อนการผลิตนะครับ

นอกจากนี้ มีการคิดค้นและพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเก็บ การขนย้าย และแปรรูปผักตบชวาให้กับราษฎรอีกหลายรายการ

ทั้งนี้ ข้อมูลและองค์ความรู้นี้ ไม่ได้หวงห้ามแต่อย่างใด ผู้ที่สนใจสามารถสแกน คิวอาร์โค้ด หรือเข้าไปดูในเว็บไซต์ที่หน้าจอในขณะนี้ได้ จะได้ช่วยกันขยายผลให้กว้างกว้างๆ ทั่วทั้งประเทศ ด้วยภูมิปัญญาของเราเอง

2.การพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ไหม ได้แก่ หมู่บ้านทอผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่าง ซึ่งเริ่มจากพระราชเสาวนีย์ และเงินก้อนแรกของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่อาจารย์วีรธรรม ตระกูลเงินไทย ซึ่งเป็นอาจารย์วิทยาลัยในวังชาย และเป็นลูกหลานของคนบ้านท่าสว่าง จึงได้เกิดโรงทอจันทร์โสมาขึ้น เพื่อผลิตผ้าไหมยกทองรูปแบบราชสำนักโบราณ และเคยใช้ตัดเสื้อมอบแก่ผู้นำเอเปก ซึ่งทำให้ผ้าไหมยกทองโบราณบ้านท่าสว่างเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั้งในและนอกประเทศ ต่อมาบ้านท่าสว่างได้พัฒนาเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มาเป็นหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนและส่งเสริมให้ทุกชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยในปี 2560 บ้านท่าสว่างได้รับงบประมาณจากกลุ่มจังหวัด เพื่อพัฒนาปรับปรุงภูมิทัศน์ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเวทีกลาง และพิพิธภัณฑ์บ้านท่าสว่าง รวมถึงได้รับการพัฒนาเป็นหมู่บ้านสัมมาชีพชุมชนด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ไหม มีจำนวนครัวเรือนที่เข้าร่วมจำนวน 20 ครัวเรือน และได้ขยายครัวเรือนเพิ่มอีกเป็น 26 ครัวเรือน ในปี 2561 นี้

ที่ผ่านมากลุ่มร้านค้าในพื้นที่มีรายได้จากการจำหน่ายผ้าไหมและของที่ระลึกทั้งในรูปแบบการขายหน้าร้านขายตามการสั่งซื้อในระบบอินเทอร์เน็ตเฉลี่ยร้านค้าละ 1.5 แสนบาทต่อเดือน มีผู้ได้รับประโยชน์ 35 ครัวเรือน 120 คน ส่วนกลุ่มผู้ทอผ้ามีรายได้จากการจำหน่ายผ้าทอ จำนวน 40 ราย รายละ 8,000 บาทต่อเดือน รวมผู้ได้รับประโยชน์ 40 ครัวเรือน 150 คน

นอกจากนี้ โรงทอผ้าไหมยกทองโบราณมีรายได้จากการจำหน่ายผ้าไหมยกทองโบราณ และให้บริการต่างๆเฉลี่ยจำนวน 1.2 ล้านบาทต่อเดือน และมีการจ้างงานราษฎรในหมู่บ้านในการทอผ้าทำให้มีรายได้กว่าเดือนละ 1.8 แสนบาท นอกจากในเรื่องการทอผ้าแล้ว ยังมีการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวในหมู่บ้าน ที่พักโฮมสเตย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิต และเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย อาจต้องสร้างนวัตกรรมใหม่เพิ่มเติมอีก พร้อมกับจะต้องรักษาของโบราณไว้ด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้อง หรือตรงกับความต้องการของตลาด

ผมมีข้อมูลทางสถิติของเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติปี 2561 ในสาขาอาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหมที่อย่างจะเล่าเพิ่มเติม คือ นางกุลกนก เพชรเลิศ ที่เข้าร่วมโครงการ เมื่อได้รับการส่งเสริมอย่างเป็นระบบ ทำให้สามารถสร้างรายได้ กว่า 282,600 บาต่อปี ซึ่งเป็นรายได้จากอาชีพด้านหม่อนไหมที่ครบวงจร จากการปลูกหม่อน 2.5 ไร่ ให้ผลผลิต 2,900 กิโลกรัมต่อไร่ เลี้ยงไหม 8 รุ่นต่อปี ได้เส้นไหม 16 กิโลกรัม ทอผ้าไหมได้ 150 เมตรต่อปี รวมทั้งแปรรูปสบู่โปรตีนไหม 500 ก้อนต่อปี และขนมทองม้วนจากใบหม่อน 400 กิโลกรัมต่อปี ส่วนรายละเอียดรายได้แยกเป็นรายการแล้วยิ่งมีความน่าสนใจ รายละเอียดตามหน้าจอ โดยมีรายได้จากส่วนอื่นอีก เช่น การทำนา การเลี้ยงหมูหลุม การเป็นวิทยากรงานด้านไหม และบ้านพักโฮมสเตย์อีกด้วย

นอกจากนี้ ในพื้นที่ภาคอีสานไม่เพียงแต่มีผ้าไหมเท่านั้นที่น่าสนใจ เรายังมี ผ้าขาวม้าที่สามารถขยายจุดแข็งเป็นจุดขาย อาทิ โครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่น หัตถศิลป์ไทย ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2559 โดยความร่วมมือกันของบริษัทประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้การดำเนินงานของคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ หรือ E3 กับกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย เป็นการเสริมสร้างอัตลักษณ์ให้กับผ้าขาวม้าไทย ซึ่งเป็นผ้าท้องถิ่นที่มีประวัติยาวนานกว่า 500 ปี ให้เป็นผลิตภัณฑ์ประจำท้องถิ่น และ สามารถนำมาต่อยอดแปรรูปผ้าขาวม้า ให้เป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพ และช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชน
สนับสนุนให้มีการจดสิทธิบัตร เพื่อให้ชุมชนเกิดความภาคภูมิใจในอาชีพ และ เชิดชูผ้าขาวม้าให้เป็นสินค้าประจำท้องถิ่นด้วย หลายรายเริ่มจากที่ตลาดคลองผดุงฯ วันนี้สามารถจะริเริ่ม สร้างสรรค์เพิ่มเติมมาใช้ตกแต่งบ้าน สถานที่ประชุม กระเป๋า ย่าม หรืออื่นๆ เป็นต้น

ทั้งนี้ ในปี 2561 ได้สานต่อความสำเร็จของโครงการมุ่งสร้างความต่อเนื่อง และต่อยอดกิจกรรมการพัฒนาชุมชนผู้ผลิตที่ได้จากการประกวดในปี 2560 ผ่านกิจกรรมการเฟ้นหาทายาทผ้าขาวม้าไทย เพื่อจะสร้างการรับรู้ ให้เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผ้าขาวม้าทอมือ ในการสืบสานภูมิปัญญา อนุรักษ์ศิลปะท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด "ทอมือ ทอใจ ช่วยชุมชน อย่างยั่งยืน" โดยการรวมตัวเป็นคลัสเตอร์ เพื่อจะเพิ่มศักยภาพการผลิต และต่อยอดทางธุรกิจ รวมถึงส่งเสริมชุมชนผู้ผลิตต้นแบบที่สืบสานปัญญาท้องถิ่น และนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป รวมทั้งมีการประกวดออกแบบผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย ประจำปี 2561 ภายใต้แนวคิดนวอัตลักษณ์ 3 สาขา ได้แก่ ด้านแฟชั่น เคหะสิ่งทอ และการออกแบบลายผ้าขาวม้า ที่ผ่านมา ตัวอย่างชุมชนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการด้วยศักยภาพของชุมชนทอผ้าขาวม้า จ.อำนาจเจริญ ภายใต้แบรนด์ นุชบา ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น คลัสเตอร์ผ้าขาวม้าเงินล้าน มีการต่อยอดผลิตภัณฑ์การแปรรูปผ้าขาวม้าให้เป็นสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน การบริหารจัดการวัตถุดิบการผลิต องค์ความรู้ในการใช้สีธรรมชาติ รวมทั้งได้รับการสนับสนุนช่องทางการตลาด ทั้งการออกร้านจำหน่ายสินค้า และตลาดออนไลน์ ทั้งนี้ สามารถแยกรายได้เพิ่มในแต่ละกลุ่มงานได้ดังนี้

(1) กลุ่มทอผ้า จากคนละ 5,000 บาทต่อคนต่อปี เป็นสูงสุดประมาณ 20,000 บาทต่อคนต่อปี
(2) กลุ่มแปรรูปผ้าขาวม้า ปัจจุบันมีรายได้จากการตัดเย็บกระเป๋าผ้าขาวม้า เฉลี่ยคนละประมาณ 20,000 บาทต่อคนต่อเดือน
(3) กลุ่มตัดเย็บเสื้อผ้า มีรายได้จากการตัดเย็บเสื้อผ้าขาวม้าส่งจำหน่ายที่ร้านประชารัฐ และออร์เดอร์จากกลุ่มแปรรูปผ้าขาวม้านุชบา เฉลี่ยเดือนละประมาณ 60,000 - 10,000 บาท เป็นต้น

3. การส่งเสริมพัฒนาการค้าการลงทุน และการค้าชายแดน ได้แก่ จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม และโครงการก่อสร้างด่านศุลกากรช่องจอม

ทั้งนี้ ช่องจอม เป็นช่องทางข้ามแดนไทย-กัมพูชาที่ใหญ่ที่สุดของ จ.สุรินทร์ ซึ่งการค้าชายแดนบริเวณนี้มีมูลค่าสูง ปีที่แล้วมีมูลค่าการส่งออกเกือบ 880 ล้านบาท และมีมูลค่าการนำเข้ากว่า 2,000 ล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2557 จ.สุรินทร์ มีโครงการด่านศุลกากรช่องจอมขึ้น เพื่อจะรองรับศักยภาพการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสนับสนุนการให้บริการแบบจุดเดียวของหน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เกิดการบริการที่สะดวก รวดเร็ว มีมาตรฐานสากล รวมถึงเพื่อลดการจราจรที่แออัด ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ

นอกจากนี้ การเพิ่มศักยภาพของด่านช่องจอม จะเป็นการตอบสนองนโยบายของภาครัฐในการจะผลักดันการเจริญเติบโตของกลุ่มจังหวัด ด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ระบบลอจิสติกส์ เพื่อจะเป็นฮับและศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค ซึ่งจะเชื่อมต่อกันได้ทั้งระบบขนส่งทางบก คือรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ทางหลวงพิเศษบางปะอิน-นครราชสีมา ถนนมิตรภาพ รวมถึงทางน้ำ ได้แก่ 3 ท่าเรือหลัก ก็คือ แหลมฉบัง สัตหีบ และมาบตาพุด

นอกจากนี้ จะเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงเครือข่ายลอจิสติกส์ ระหว่างประเทศ ทั้งระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตกภายใต้ความร่วมมือ GMS และเป็นประตูเชื่อมโยงกลุ่ม 3 ประเทศสามเหลี่ยมมรกต ได้แก่ กัมพูชา ลาว และไทย รวมถึงต่อไปยังเวียดนามได้อีกด้วย

คาดว่าเมื่อเปิดดำเนินการ จะสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และการบริการทางการแพทย์ ซึ่งจะหมายถึงรายได้ของพี่น้องในพื้นที่และใกล้เคียงได้อย่างยั่งยืน โดยเราจะต้องไม่ลืมที่จะพิจารณาในเรื่องเขตแดนด้วย ความปลอดภัยต่างๆ การเป็นเจ้าบ้านที่ดี เหล่านี้เป็นส่วนสำคัญทั้งสิ้น

4. การยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิต ได้แก่ โครงการประชารัฐ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน โฮมสเตย์ บ้านสนวนนอก เป็นอีกตัวอย่างที่เราได้เห็นการร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่เป็นการสร้างความแข็งแกร่งของชุมชนจากภายใน หรือระเบิดจากข้างในที่ชัดเจน โดยในชุมชนมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 165 ครัวเรือน ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก และมีการประกอบอาชีพเสริม เช่น ทอผ้า จักสาน หัตถกรรม ที่น่าสนใจและนำมาใช้ต่อได้ ก็คือการบริหารงานหมู่บ้าน โดยคณะกรรมการที่ยึดหลักธรรมนูญหมู่บ้าน ที่ประกอบด้วย เป็นคนดี มีปัญญา มีรายได้ที่สมดุล สุขภาพแข็งแรง สิ่งแวดล้อมสมบูรณ์ ครอบครัวอบอุ่น หลุดพ้นอาชญากรรม กองทุนพึ่งพาตนเอง คณะกรรมการหมู่บ้านเข้มแข็ง โดยเน้นการขับเคลื่อนชุมชนด้วยพลัง "บวร" หรือ บ้าน วัด โรงเรียน นอกจากนี้ ชุมชนสนวนนอก ยังเป็นชุมชนคุณธรรมที่น้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ที่มีการรวมกลุ่มจัดตั้งกองทุนพึ่งพาตนเอง โดยนำเงินจากกองทุนไปบริหารและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนเร่งด่วนในชุมชน เช่น การสร้างถนนคอนกรีต

นอกจากนี้ ยังมีการรวมกลุ่มแปรรูปสินค้าชุมชน เช่น เสื้อ กระเป๋าอเนกประสงค์ กระเป๋าดินสอ ตุ๊กตาผ้า เป็นต้น ส่งเสริมให้ประชาชนปลูกผักสวนครัว รั้วกินได้ ตู้เย็นรอบบ้าน ATM ข้างกาย และมีฐานการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงให้กับชุมชนด้วย

นอกจากนี้ ยังริเริ่มหมู่บ้านท่องเที่ยวไหม บ้านสนวนนอก เนื่องจากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การทอผ้าไหม เป็นวิถีดั้งเดิมของชนเผ่าในภาคอีสาน ทั้งชนเผ่าไทยอีสาน ไทยลาว ไทยส่วย ไทยเขมร สืบทอดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น จึงมีการผสมผสานศิลปวัฒนธรรมจนเกิดเป็นลายผ้าไทยที่มีเอกลักษณ์ เพื่อจะส่งเสริมให้คนในหมู่บ้านมีอาชีพเสริมที่พัฒนามาจากองค์ความรู้ และภูมิปัญญาในท้องถิ่น บ้านสนวนนอกจึงได้ผลักดันกลุ่มทอผ้าไหม ให้เป็นหมู่บ้าน ท่องเที่ยวไหมบ้านสนวนนอก เริ่มจากการส่งเสริมการรวมกลุ่มของแม่บ้านที่มีอาชีพทอผ้าไหม และมีการระดมเงินจำนวน 10,000 บาท เพื่อเป็นทุน โดยในระยะแรก สินค้าและผลิตภัณฑ์เป็นผ้าไหมที่มีสีสัน ลวดลายแบบดั้งเดิมตามที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ยังไม่สามารถจำหน่ายตลาดนอกชุมชนได้ จึงมียอดจำหน่ายเพียงปีละ 10,000 บาท

ต่อมา ได้รับการสนับสนุนจากส่วนราชการ ให้มีการฝึกอบรมทักษะการผลิตไหม การแปรรูป การตลาด มีการรับสมัครสมาชิกเพิ่ม เพื่อจะขยายกำลังการผลิตและนำผลิตภัณฑ์มาลงทะเบียนโอทอป ซึ่งได้เป็นผลิตภัณฑ์ระดับ 4 และ 5 ดาว รวมถึงพัฒนาจนได้ลายผ้าที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดบุรีรัมย์ คือ ผ้าหางกระรอกคู่ตีนแดง ซึ่งมีคุณภาพมีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการของตลาด ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้ขับเคลื่อนการเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวโอทอปเชิงวัฒนธรรม โดยมีผลิตภัณฑ์ และกระบวนการผลิตไหมเป็นแนวคิดจนทำให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย และเป็นอีกหนึ่งจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่อยากจะเรียนรู้วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนในหมู่บ้าน ชมการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ได้ฝึกทำและชิมขนมพื้นเมือง ชมการแสดงพื้นบ้าน นั่งรถกระสวยอวกาศชมธรรมชาติ รวมถึงการพักโฮมสเตย์ ส่งผลให้กลุ่มทอผ้าไหมมีความเข้มแข็งและขายผลิตภัณฑ์ได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถจะสร้างรายได้ให้กับชุมชนเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านบาท

ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ ผมได้ไปตรวจเยี่ยมความพร้อมของประเทศไทย สำหรับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 รายการ PTT Thailand Grand Prix ณ สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ซึ่งเราได้รับการคัดเลือกให้จัดการแข่งขันรายการระดับโลกนี้เป็นครั้งแรก เป็นเวลา 3 วัน ช่วงวันที่ 5 - 7 ตุลาคมนี้ คาดว่าจะได้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 2 แสนคน นอกจากนี้ จะมีการถ่ายทอดผ่านช่องกีฬาชั้นนำกว่า 200 ช่อง ใน 207 ประเทศ สู่สายตาชาวโลกกว่า 800 ล้านคู่ จะเกิดผลดีทางเศรษฐกิจ อาทิ ข้อมูลจากการจัดการแข่งขัน ในรายการเดียวกันนี้ ที่เมืองเซปัง ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 7 ปีที่แล้ว มีรายได้โดยตรงจากผู้เข้าชมชาวต่างชาติ และจากกิจกรรมต่อเนื่อง ราว 1,200 ล้านบาท รายได้โดยอ้อม มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งเมืองรอง เมืองใกล้เคียง อีกกว่า 4,300 ล้านบาท ทั้งนี้ เพื่อรองรับมหกรรมกีฬาครั้งนี้ รัฐบาลจะช่วยสนับสนุนความพร้อม ในการปรับปรุงท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ทั้งขยายทางวิ่ง เพิ่มอาคารที่พักผู้โดยสาร ให้เหมาะสมต่อไป

ภาคส่วนต่างๆ ก็จะต้องปรับตัว ทั้งร้านอาหาร ที่พัก โฮมสเตย์ การเดินทาง การท่องเที่ยว สินค้าชุมชน ของที่ระลึก รวมไปถึงการบริหารจัดการพื้นที่ การจราจร การอำนวยความสะดวก การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และการเดินทาง เป็นต้น ต้องช่วยการคิดให้เป็นระบบ ช่วยกันทำอย่างมีแบบแผน และเป็นสากล โดยเฉพาะการเป็นเจ้าภาพ เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วย ทั้งนี้ การที่รัฐบาลจะพิจารณาสนับสนุนกิจกรรมใดๆนั้น ก็ต้องดูศักยภาพ ดูความพร้อมของพื้นที่อีกด้วย

สุดท้ายนี้ ผมมีเรื่องที่น่ายินดี 2 เรื่อง เรื่องแรก เกี่ยวกับนักกีฬาฟุตบอลคนตาบอดทีมชาติไทย ที่ได้สร้างประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรก เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย ในรายการฟุตบอลคนตาบอดโลก ที่จะแข่งขันระหว่างวันที่ 5 - 18 มิถุนายนนี้ ณ กรุงมาดริด ประเทศสเปน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ต่างอะไรจากนักกีฬาระดับโลกประเภทอื่นๆ ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรค การแข่งขันหลายรอบ กว่าจะได้เป็นตัวแทนทวีปเอเชียเข้าสู่รอบสุดท้ายนี้ ไม่เพียงศักยภาพรายบุคคลของนักกีฬา การทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ประกอบกับการทำงานเป็นทีม ซึ่งสำคัญมากในทุกๆ กิจกรรมด้วย โดยเฉพาะรายการนี้ย่อมพิสูจน์ให้พวกเราทุกคนได้เห็นว่า แม้มองไม่เห็น แต่ก็สามารถใช้หูนำทาง ร่วมกับประสาทสัมผัส และทักษะอื่นมาชดเชยได้ เพียงแต่ต้องอาศัยการฝึกฝน และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ ทุกคนก็มีโอกาสประสบความสำเร็จ สมดังที่มุ่งมั่นตั้งใจไว้ทั้งสิ้น ผมขอชื่นชมในความสามารถ ความวิริยะอุตสาหะ จนมาถึงจุดนี้ โดยจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ในทุกวงการ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยได้ติดตามผลงาน ร่วมส่งกำลังใจไปเชียร์ ให้นักกีฬาของเราประสบความสำเร็จสูงสุด นำชื่อเสียง ความภาคภูมิใจ และความสุข มาสู่คนไทยทั้งชาติ และเป็นบันไดไปสู่การแข่งขันในรายการพาราลิมปิกส์เกมส์ ปี 2020 ณ ประเทศญี่ปุ่น ต่อไปด้วย

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพ และดำรงตำแหน่งประธานเครือข่ายผู้ประกอบการสตรีอาเซียน ต่อจากฟิลิปปินส์ ซึ่งจะมีวาระ 2 ปี คือ ปี 2562 และ 2563 เพื่อจะขับเคลื่อนประเด็นสตรีทางเศรษฐกิจในอาเซียน ที่สะท้อนการยกระดับความเสมอภาคระหว่างเพศ และพลังสตรีกับเศรษฐกิจของภูมิภาคอาเซียน ที่ผมเห็นว่าจะมีส่วนช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชน ด้วยความร่วมมือในลักษณะเกื้อกูลกัน ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDG ขององค์การสหประชาชาติ ที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ทั้งนี้ ผมได้ฝากข้อพิจารณาสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของเราในครั้งนี้ว่า ควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มชีดความสามารถในการแข่งขันของ SMEs โดยเฉพาะผู้ประกอบการสตรี การสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจระดับฐานราก ทั้งด้านการผลิตและการตลาด ในรูปแบบของประชารัฐ เพื่อจะสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชน การปรับตัวสู่เศรษฐกิจยุคดิจิทัล รวมทั้งการสร้างความเข้มแข็ง ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สำหรับสร้างการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน

ทั้งหมดนี้ เราจะต้องดำเนินการในเชิงสร้างสรรค์ และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่เท่าเทียม สามารถเข้มแข็งไปด้วยกัน ก้าวเคียงข้างกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นอกจากนี้ ผมขอฝากบทกลอนถึงพี่น้องประชาชน เพื่อเป็นหลักคิดในการร่วมกันพัฒนาบ้านเมืองอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน ไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน อย่ามองว่าแต่งดี ไม่ดี แต่งผิด แต่งถูก อะไรทำนองนี้ ขอให้ดูสาระ ผมอยากให้ทุกคนได้ลองคิดดูนะครับ

ทำการเมือง เป็นพลัง ไว้สร้างบ้าน
ไม่ก่อการ ขัดแย้ง ทุกแห่งหน
ประชาธิปไตย ใหญ่หลวง เพื่อปวงชน
ใช่พร่ำบ่น ให้คนไทย ไร้กฎเกณฑ์

ทุกโครงการ ปฏิรูป ช่วยสานต่อ
เหมือนถักทอ เส้นไหม ให้เป็นผืน
ทั้งย้อมสี ลวดลาย ให้กลมกลืน
ไทยต้องตื่น รู้เท่าทัน อันตราย

รัฐบาล คสช. ทำทุกอย่าง คงไม่ไหว
ไทยช่วยไทย ประชารัฐ เร่งขวนขวาย
พ้นยากจน ทนลำบาก ยากใจกาย
สู่เป้าหมาย ปลายทาง ไทยยั่งยืน

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว มีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะพี่น้องเกษตรกร กระดูกสันหลังของชาติ ในการเริ่มฤดูกาลทำนาในปีนี้ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น