xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” วอนอย่าเคลื่อนไหวกรณีป่าแหว่ง กำลังเร่งหาทางออก ห้ามใครไปอยู่ทั้งสิ้น - เสนอเรียก “ฝ่ายค้านและสนับสนุน” จะได้ไม่ต้านทุกเรื่อง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


“ประยุทธ์” ร่ายยาวผลงานปราบปรามบุกรุกป่า ขอร้องอย่ากดดันเคลื่อนไหวกรณีบ้านพักตุลาการ ยันกำลังเร่งหาทางออก ห้ามใครไปอยู่ทั้งสิ้น วอนอย่ารังเกียจข้าราชการศาลเพราะไม่ได้ไปสร้างเอง แต่เป็นนโยบายรัฐบาลก่อน เสนอไอเดียเรียก “ฝ่ายค้านและสนับสนุน” จะได้ไม่ค้านไปทุกเรื่อง

วันนี้ (4 พ.ค.) เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนา อย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า 4 ปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของรัฐบาลเกี่ยวกับคดีบุกรุกป่า ลักลอบตัดไม้และค้าไม้ การล่าสัตว์ป่าและการค้าสัตว์ป่า สามารถกล่าวโดยสรุปได้ ดังนี้

คดีการบุกรุกพื้นที่ป่า มากกว่า 26,000 คดี จับผู้ต้องหาได้ 5,000 กว่าคน พื้นที่บุกรุก เกือบ 670,000 ไร่

คดีการตัดไม้ และการค้าไม้มีค่า เกือบ 30,000 คดี จับผู้ต้องหาได้ เกือบ 15,000 คน ไม้ของกลาง ราว 60,000 ลูกบาศก์เมตร

คดีสัตว์ป่า ราว 25,000 คดี สัตว์ป่าของกลาง 42,000 กว่าตัว ซากสัตว์ป่าของกลาง เกือบ 19 ตัน เป็นต้น

นายกฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการฟื้นฟูและปลูกป่าก็ต้องทำคู่ขนานกันไปเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ป่าต้นน้ำ ได้มีการจัดตั้ง 273 ศูนย์ปฏิบัติการและ 943 ฐานปฏิบัติการฟื้นฟูต้นน้ำทั่วประเทศ เพื่อจะป้องกันการบุกรุกซ้ำ หรือขยายพื้นที่การบุกรุก และปลูกฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ในพื้นที่สูงชัน ที่เราเห็นเป็นเขาหัวโล้น ในพื้นที่ภาคเหนืออยู่ทั่วไป ปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูและปลูกป่าได้แล้วกว่า 700,000 ไร่

ส่วนกรณีบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ พล.อ.ประยถทธ์ กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนไม่สบายใจ ทุกคนไม่สบายใจ เพราะเป็นผลกระทบกับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ไม่ว่าปัญหาจะเกิดจากใคร และเกิดเมื่อไรก็ตาม ตนก็อยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้มั่นใจว่ารัฐบาลและ คสช.จะพยายามทำอย่างเต็มที่ด้วยความรอบคอบ ก็ขอให้ไว้ใจตนเหมือนที่เคยไว้ใจมาตลอด 4 ปี ว่าเราจะต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ หลายอย่างมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราไปแก้ไขอะไรแบบที่ไม่ระมัดระวังไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศอย่างที่กล่าวมาแล้ว

"ปัจจุบันผมได้มอบหมายให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะทำงาน เข้าไปพูดคุย หารือ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ก็ทราบว่าการพูดคุยในปัจจุบันเป็นไปในทิศทางที่ดี สิ่งแรกที่ผมจะให้ทำก่อนเลยก็คือการปลูกป่าขึ้นมาก่อน เรื่องอื่นเดี๋ยวก็พูดคุย เจรจา หารือ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายมาดูกัน แต่ข้อสำคัญก็คืออย่าไปแสดงความรังเกียจ ชิงชังข้าราชการของศาล เพราะข้าราชการเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนไปสร้างเอง เป็นเรื่องของนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา คราวนี้ก็ต้องมาดูซิว่าจะบริหารจัดการกันได้อย่างไร แต่แน่นอนว่าไม่มีใครไปอยู่แน่นอน ผมก็ยังไม่ได้อนุมัติให้ใครไปอยู่ทั้งสิ้น ลองบริหารจัดการป่าดูซิว่ามันจะใช้เวลาในฤดูฝนหน้า มันจะปลูกป่าขึ้นมาได้ไหม ทำพื้นที่เหล่านั้นให้เป็นพื้นที่ป่าได้เหมือนเดิมหรือไม่ เรื่องอื่นๆ เดี๋ยวก็เจรจาว่ากันต่อไป อย่าเพิ่งมากดดันกันเลย เห็นบอกจะมีการเคลื่อนไหวกันอีก ผมขอร้องนะครับ ไม่งั้นมันจะวุ่นวายไปทั้งประเทศ และจะมีคนมาฉวยประโยชน์เข้าไปอีก" นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานั้นเราคงคุ้นเคยกับการทำงานของ ส.ส.ในสภา มันก็มีอยู่สองฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่ทีนี้เรามักจะเรียกฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาล ทำไมไม่ลองเรียกดู ในทางปฏิบัติ เรียกฝ่ายหนึ่งว่าฝ่ายรัฐบาล กับอีกฝ่ายคือฝ่ายค้านและสนับสนุน ค้านก็คือ มีการตรวจสอบ มีการทักท้วง แต่เรื่องใดก็ตามที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติ เป็นนโยบายที่มีการปฏิรูป ก็ต้องสนับสนุนกัน ไม่อย่างนั้นก็ล้มกันไปหมด มันก็เลยทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ประเทศชาติก็ไม่มีแนวทางในการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน มันอาจจะเปลี่ยนชื่อไม่ได้ แต่อยากจะให้สร้างความรู้สึกใหม่ๆ ขึ้นมา ไม่อยากจะให้ค้านกันไปกันมาทุกเรื่อง ติเพื่อก่อ มีข้อเสนอแนะ บนพื้นฐานข้อเท็จจริงและผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [4 พฤษภาคม 2561]

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน เรามาพบกันอีกครั้งหนึ่ง วันนี้คงมาพูดในเรื่องสำคัญ เฉพาะเรื่องไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งกับทั้งประชาชนและประเทศชาติ ที่เราต้องร่วมกันดูแลรักษากันต่อไป ถ้าเราลองมองรอบตัวเองออกไปนอกบ้านไปเขตนอกเมืองของเรา ในวันนี้จะเห็นว่า บ้านเมืองเรามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างด้วยกัน ต้องไปหากันให้เจอว่า อะไรบ้าง หลายสิบปีที่ผ่านมานั้น เรามีการเร่งพัฒนาประเทศ มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อาจจะอย่างไม่ระมัดระวัง ไม่ยั้งคิดว่า วันข้างหน้าเราจะเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลานเราไว้ใช้ต่อไป การพัฒนาในช่วงที่ผ่านมานั้น ความสมดุลกับธรรมชาติ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้น ที่อยู่รอบๆ ตัวเรานั้น เพียงพอหรือไม่ จริงอยู่ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ อาจจะทำให้รายได้ต่อหัวของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นกว่า 10 เท่า ในขณะที่จำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 67 ล้านคน ผลที่ตามมาในขณะนี้คือ ถ้าเราหันหลังกลับไปดู เราจะเห็นได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง

ผมยกตัวอย่างโดยเฉพาะในเรื่องของป่าไม้ ที่ส่งผลกระทบย้อนกลับมาหาตัวเราเอง ที่ผ่านมาป่าไม้ถูกบุกรุกทำลายเพื่อขยายพื้นที่ทางการเกษตร ส่วนหนึ่งเกิดจากพี่น้องประชาชนผู้ยากไร้ และเกษตรกรที่ไม่มีพื้นที่ทำกินเป็นของตัวเอง อีกส่วนหนึ่งซึ่งหนักหนากว่านั้น เกิดจากการชี้นำ การว่าจ้างของนายทุน อีกทั้งการบุกรุกเพื่อกิจกรรมอื่นๆ เช่น การขยายเมือง ขยายชุมชน เพื่อรองรับจำนวนประชากรที่มากขึ้น ซึ่งมีความจำเป็นด้่วย หรือการแผ้วถางทำรีสอร์ตที่พัก เพื่อการท่องเที่ยว เหล่านี้เป็นต้น ประเด็นสำคัญคือว่า หากทำมาแล้วมีการพิจารณาให้ถูกต้องเหมาะสมคงไม่เป็นไร เพียงแต่ว่ามันมีการทุจริต ปล่อยปละละเลย จนทำให้การละเมิดกับพื้นที่เหล่านั้นเกิดความเคยชิน พอมีการจัดระเบียบต่างๆ ก็เกิดปัญหา มันทำให้พื้นที่ป่าของเราที่เคยอุดมสมบูรณ์ ถือว่าเป็นปอดของโลกเมื่อ 50 ปีก่อน มีพื้นที่ประมาณ 171 ล้านไร่ แต่ขณะนี้ลดลงเหลือ 102 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 32 ของพื้นที่ประเทศ

ก่อนที่รัฐบาลนี้ และ คสช.จะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน อาจกล่าวได้ว่า ส่วนหนึ่งของปัญหาคือ เรื่องการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการบริหารจัดการที่ไม่มียุทธศาสตร์ ขาดความต่อเนื่อง และมีเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน สิ่งที่ตามมาคือเรื่องภัยแล้ง เนื่องจากป่าไม้ที่เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญของประเทศถูกทำลาย น้ำท่วม เพราะไม่มีผืนป่าดูดซับน้ำ และไม่มีระบบบริหารจัดการลำน้ำ ลุ่มน้ำที่มีประสิทธิภาพ เกิดการบูรณาการในภาพรวมเท่าที่ควร แล้วฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศ ที่สืบเนื่องมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต และสุขภาพของเราทุกคน รวมทั้งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากทางเศรษฐกิจ เช่น พืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ไม่ได้คุณภาพ บางอย่างไม่พอบริโภค บางอย่างล้นตลาด นำไปสู่ปัญหาสังคม โดยเฉพาะกับพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากรายได้ที่ไม่มั่นคง ต้องพึ่งพาฟ้าฝน ขึ้นอยู่กับกลไกการตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่แข็งแรง ไม่มีขีดความสามารถเพียงพอ สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นที่ผมอยากชวนพี่น้องประชาชนให้ความสนใจ และอยากสะกิดให้เยาวชนลูกหลานได้หันมามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาร่วมกันในอนาคตด้วย โดยเริ่มตั้งแต่ปัจจุบัน

พี่น้องชาวไทยที่รักครับ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้นั้น ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานแนวคิดปลูกป่าในใจคน ซึ่งเปรียบการปลูกจิตสำนึกเป็นเสมือนการปลูกต้นกล้าให้เจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ในวันข้างหน้า หากชาวบ้านในพื้นที่เห็นด้วยร่วมมือ ร่วมใจแล้วการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ หรือกิจกรรมอื่นใดในพื้นที่ย่อมจะประสบความสำเร็จได้โดยบริบูรณ์

ดังนั้นจิตสำนึกของประชาชนจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ อีกทั้งทรงมุ่งหวังให้พสกนิกรได้รับประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรธรรมชาติทั้งด้านเกษตรกรรม วนศาสตร์เศรษฐกิจและสังคม โดยทรงแนะนำการปลูกป่าในเชิงผสมผสาน อาทิ การปลูกป่า 3 อย่าง ได้ประโยชน์ 4 อย่าง คือ ไม้ใช้สอย ไม้ผล ไม้เชื้อเพลิง ซึ่งการปลูกป่านั้น นอกจากจะช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำแล้ว ยังจะรักษาพื้นที่ต้นน้ำ โดยช่วยซับน้ำฝน ชะลอการไหลน้ำป่าตามร่องเขา และพัฒนาเป็นชลประทานได้อีกด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาล และ คสช.ได้น้อมนำศาสตร์พระราชาดังกล่าวนั้น มาเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายสาธารณะ และมาตรการต่างๆ ไม่ใช่เพียงเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องป่าไม้เท่านั้น แต่เพื่อให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืนเป็นสำคัญ อาทิ การบริหารจัดการป่าไม้แบบมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อการสร้างสุขของคนไทยเป็นต้น

สำหรับมาตรการปกป้องรักษา และฟื้นฟูผืนป่านั้น คสช.ได้ออกคำสั่งให้เกิดการขับเคลื่อนด้วยการผนึกกำลังจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าแห่งชาติ ที่มุ่งเน้นการปฏิบัติการระดับพื้นที่ การมีส่วนร่วมของชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนการปลูกป่า
ทุกกิจกรรม เราต้องคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชนผู้ยากไร้ ผู้มีรายได้น้อย และผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินให้สามารถอาศัยอยู่ ณ ที่เดิมของตนเองได้ ซึ่งมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมากำกับดูแลในแต่ละกิจกรรมเป็นการเฉพาะอย่างใกล้ชิด อาทิ คณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่าระดับชาติ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกัน และปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งมีบทบาทสำคัญ ในการยับยั้งการบุกรุกทำลายป่าที่ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังมานาน โดยมีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่าเพื่อการทวงคืน กล่าวโทษ และดำเนินคดีผู้กระทำความผิดด้านทรัพยากรธรรมชาติ โดยมีหน่วยงานเฉพาะกิจของกรมต่างๆ ในกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยปฏิบัติ ทำงานในลักษณะปิดทองหลังพระ เป็นหูเป็นตา เป็นมือเป็นไม้ แทนพวกเราเกือบ 70 ล้านคน

ได้แก่ หน่วยงานเฉพาะกิจปราบปรามพิเศษพยัคฆ์ไพร กรมป่าไม้ หน่วยงานเฉพาะกิจปฏิบัติการพิเศษผู้พิทักษ์อุทยานแห่งชาติและสัตว์ป่าพญาเสือ และชุดปฏิบัติการพิเศษเหยี่ยวดง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช อีกทั้งชุดปฏิบัติการพิเศษฉลามขาว ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ที่ผมขอกล่าวถึง เพื่อเป็นการให้เกียรติ และเป็นกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ทุกคนด้วย

สำหรับกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายภาคประชาชน และประชาสังคม ให้มีทัศนคติที่ดี และร่วมมือ เฝ้าระวัง กับภาครัฐ ในการป้องกัน และรักษาผืนป่า

โดยมีคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาชุมชนในพื้นที่ป่าแบบมีส่วนร่วม คณะอนุกรรมการศึกษา วิเคราะห์ รูปแบบกลไกทางการเงินสนับสนุนการปลูกป่า หรือที่เรียกว่า พันธมิตรป่าไม้ และคณะทำงานส่งเสริมการขับเคลื่อนโครงการฟื้นฟูป่าไม้เมืองน่าน แบบบูรณาการ กำกับดูแลให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ได้อย่างยั่งยืนนะครับ ก็จะเป็นโมเดลให้กับจังหวัดอื่นต่อไปด้วย

พี่น้องชาวไทยที่เคารพครับ 4 ปีที่ผ่านมานั้น ผลการดำเนินงานของรัฐบาล และ คสช. เกี่ยวกับคดีเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่า การลักลอบตัดไม้และค้าไม้ การล่าสัตว์ป่าและการค้าสัตว์ป่า สามารถกล่าวโดยสรุปได้ ดังนี้

คดีการบุกรุกพื้นที่ป่า มากกว่า 26,000 คดี จับผู้ต้องหาได้ 5,000 กว่าคน พื้นที่บุกรุก เกือบ 670,000 ไร่

คดีการตัดไม้ และการค้าไม้มีค่า เกือบ 30,000 คดี จับผู้ต้องหาได้ เกือบ 15,000 คน ไม้ของกลาง ราว 60,000 ลูกบาศก์เมตร

คดีสัตว์ป่า ราว 25,000 คดี สัตว์ป่าของกลาง 42,000 กว่าตัว ซากสัตว์ป่าของกลาง เกือบ 19 ตัน เป็นต้น

เราทำมากมาย คราวนี้ก็อยู่ที่คนถ้าทุกคนลดการกระทำผิดกฎหมาย ทุกอย่างก็แบ่งเบาลงไป ป่าก็มี สัตว์ก็อยู่ดี ไม่มีการรบกวนซึ่งกันและกัน เจ้าหน้าที่ ก็มีเวลาไปทำอย่างอื่น

สำหรับการฟื้นฟูและปลูกป่าก็ต้องทำคู่ขนานกันไปเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ป่าต้นน้ำ ได้มีการจัดตั้ง 273 ศูนย์ปฏิบัติการและ 943 ฐานปฏิบัติการฟื้นฟูต้นน้ำทั่วประเทศ เพื่อจะป้องกันการบุกรุกซ้ำ หรือขยายพื้นที่การบุกรุก และปลูกฟื้นฟูป่าต้นน้ำ ในพื้นที่สูงชัน ที่เราเห็นเป็นเขาหัวโล้น ในพื้นที่ภาคเหนืออยู่ทั่วไป ปัจจุบันได้มีการฟื้นฟูและปลูกป่าได้แล้วกว่า 700,000 ไร่

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผมเห็นว่าจะเป็นการแก้ปัญหาทั้งปวงที่ได้กล่าวมาในคืนนี้อย่างยั่งยืน ก็คือ การบริหารจัดการป่า เพื่อความสุขของคนไทย อันได้แก่ การแก้ปัญหาการไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรและการรุกล้ำเขตป่าสงวน แก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ

กระจายสิทธิการถือครองให้แก่ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ไม่ได้รุกล้ำและสร้างสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ซึ่งจะต้องมุ่งเน้นการสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการภาครัฐ ลดความเหลื่อมล้ำของสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเร่งรัดการจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้ยากไร้โดยไม่ต้องเป็นกรรมสิทธิ์ แต่รับรองสิทธิร่วมในการจัดการที่ดินของชุมชน

หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบ หรือทราบแล้ว แต่ยังไม่ทราบข้อมูลทั้งหมด ผมจะขอกล่าวคร่าวถึงกระบวนการและผลการปฏิบัติ ดังนี้

1. การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนด้วยการนำที่ดินของรัฐ 6 ประเภท ได้แก่ ป่าสงวน สปก. ที่ดินสาธารณประโยชน์ ป่าชายเลน ที่ราชพัสดุ และที่ดินสงวนเพื่อกิจการนิคมในนิคมสร้างตนเอง มาอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์แก่กลุ่มชุมชน สหกรณ์หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม ในลักษณะแปลงรวม ตามนโยบายรัฐบาล ภายใต้คณะกรรมการ นโยบายที่ดินแห่งชาติ ของรัฐบาลนี้

เพื่อให้ผู้ยากไร้ที่ได้รับการจัดที่ดิน พร้อมกับการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ระบบอนุรักษ์ดินและน้ำที่เหมาะสม รวมทั้งการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคด้วย อันจะนำไปสู่การสร้างความสมดุลให้คนอยู่กับป่า โดยพึ่งพาอาศัยกันและกัน

ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และพัฒนาศักยภาพการใช้ประโยชน์ในที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล เป็นธรรมและยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม สิ่งแวดล้อมและความมั่นคงของประเทศ เรามีเป้าหมายในระยะ 20 ปี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2579 จำนวน 5.6 ล้านไร่

สำหรับปีผ่านมา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน มีผลการดำเนินการ ดังนี้

มีการกำหนดพื้นที่เป้าหมายการจัดที่ดินทำกินทั้งสิ้น 1 ล้านกว่าไร่ ใน 629 พื้นที่ 68 จังหวัด มีการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัย กว่า 320,000 ไร่ ใน 87 พื้นที่ 45 จังหวัด มีราษฎรได้เข้าอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตแล้ว 30,000 กว่าราย 81 พื้นที่ 41 จังหวัด

อีกทั้งมีการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพให้ราษฎรที่ได้รับการจัดที่ดินทำกินแล้ว รวม 99 พื้นที่ 48 จังหวัด เป็นต้น

อันนี้ก็คงต้องทำกันต่อไป เพราะว่าจะมีคนเดือดร้อนเป็นจำนวนมาก ต้องเข้าใจว่า พื้นที่ที่เราจัดสรรได้นั้น ก็เป็นพื้นที่ 6 ประเภทที่ได้กล่าวไปแล้ว ที่เหลือเป็นพื้นที่ป่าอุทยาน ป่าต้นน้ำ เหล่านี้ รวมความไปถึงที่เอกชนเราเอามาจัดไม่ได้

2. ป่าชุมชนตามนโยบายที่ว่ารัฐได้ป่า ประชาชนได้ที่ทำกิน ทั้งนี้ เพื่อจะแก้ปัญหาการเข้าไปแผ้วถางเอาจากพื้นที่ป่า อันเนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ควบคู่ไปกับการขยายพื้นที่ทำกิน และการอพยพย้ายถิ่นฐานของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เป็นต้น โดยมุ่งเน้นให้ราษฎรอยู่อาศัยได้อย่างปกติสุขและยั่งยืน มีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุดจะเป็นการส่งเสริมให้คนอยู่ร่วมกับป่า ช่วยกันปกป้องรักษา ฟื้นฟูสภาพป่าให้อุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ หรือระบบนิเวศที่ดี รวมทั้งส่งเสริมการสร้างงาน สร้างอาชีพให้กับราษฎร และมีการใช้อย่างสมดุลและยั่งยืน

ปัจจุบัน มีการจัดตั้งป่าชุมชนแล้วจำนวนทั้งสิ้น 10,000 กว่าหมู่บ้านทั่วประเทศ รวมเนื้อที่กว่า 6 ล้านไร่ คิดเป็นประมาณ 1 ใน 3 ของพื้นที่เป้าหมาย 19 ล้านไร่ ในกว่า 22,000 หมู่บ้าน ตัวอย่างเรื่องนี้ ป่าชุมชนบ้านทุ่งหยีเพ็ง อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ที่รับรางวัลป่าชุมชนชนะเลิศระดับประเทศ ปี 2560 อยู่ติดกับป่าชายเลน ชาวบ้านเอาพื้นที่ตัดไม้เผาถ่าน ทำการประมงพื้นบ้านและหาของป่าเพื่อจะชีวิตครอบครัว ปัจจุบัน ชุมชนไม่มีการตัดไม้ ไม่เผาถ่าน แต่ปรับเปลี่ยนสู่การฟื้นฟูสภาพป่า ให้คงความอุดมสมบูรณ์ เห็นคุณค่าของทะเลว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่า เป็นแหล่งที่อยู่ของกุ้ง หอย ปู และปลา ซึ่งชุมชนปัจจุบันได้เรียนรู้และปลูกฝังจิตสำนึกให้มีการจัดการชุมชนเพื่อปกป้องดูแลรักษา ให้ชุมชนดำเนินชีวิตผู้คนอย่างมีความสุข มีการประกอบอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและลมฟ้าอากาศของท้องถิ่นตน

ทั้งนี้ เป้าหมายของชุมชน ได้แก่ การดูแลรักษาป่า รักษาทะเล การสร้างรายได้เสริมให้กลุ่มสมาชิกชุมชน และการรักษาผลประโยชน์ชุมชน ปกป้องชุมชนให้รอดพ้นจากภัยคุกคามการขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในอนาคต

3 ป่าในเมือง หรือสวนป่าประชารัฐ เพื่อความสุขคนไทย เพิ่มความสมบูรณ์ของพื้นที่ป่า และพื้นที่สีเขียวให้ประชาชนใช้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมตามความเหมาะสมของพื้นที่ การออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ และแหล่งศึกษาธรรมชาติ และป่าธรรมชาติอยู่ใกล้เมือง หรือกลางเมือง ที่เปิดรับพี่น้องประชาชนทุกคน โดยปี 2561 จะเปิดให้ประชาชนใช้ประโยชน์รวม 99 ป่า ประมาณ 3 แสนไร่

พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันข้างหน้าจะอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชน ใช้ประโยชน์และร่วมกันรักษาป่า โดยสามารถเก็บของป่า บริโภค และการค้า รวมทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศและป่าได้ ดังนั้น รัฐบาล โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอยู่ระหว่างการผลักดันร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน โดยคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีได้เร็ววัน

นอกจากนี้ การดำเนินงานต่อไปของรัฐบาลและ คสช. ได้แก่
1 เร่งดำเนินการจัดที่ทำกินให้ชุมชน ตามนโยบายรัฐบาลให้บรรลุเป้าหมายโดยเร็ว
2 ผลักดันร่างพระราชบํญญัติ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ เพื่อให้เกิดการบริหารที่ดินและทรัพยากรที่ดินอย่างมีเอกภาพ มีประสิทธิภาพ มีคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนบริหารที่ดินและทรัพยากรที่ดิน ด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความมั่นคง โดยการบูรณาการ เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชน และสังคม ทำให้การบริหารจัดการทรัพยากรดินที่มีข้อจำกัดอยู่มาก ให้มีประสิทธิภาพเกิดประโยชน์สูงสุด สมดุล และยั่งยืน พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำได้อีกทางหนึ่งด้วย
และ 3 คือแผนการจัดทำนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดิน และทรัพยากรดินของประเทศ ระยะเร่งด่วน ระยะกลาง 5 ปี และระยะยาว 20 ปี ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ และสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทุกคนต้องทราบว่าวันนี้ที่ดินเราลดลง ป่าเราลดน้อยลง เพราะฉะนั้น ที่มีอยู่ปัจจุบันก็นำมาใช้ประโยชน์จนเหลือน้อยแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องมาพิจารณาหาทางเลือกอื่นด้วยในการประกอบอาชีพ เราทุกคนต้องมีพื้นที่มากเพียงพอในการทำเกษตร และปัญหาวันหน้าจะเกิดขึ้น บางพื้นที่ไม่เหมาะสม ขาดน้ำ ดินไม่ดี ได้ที่ไปก็ทำอะไรไม่ได้ วันนี้ รัฐบาลเข้ามาเปลี่ยนแปลงใหม่ โดยจัดสรรที่ดิน และดูแลเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้วย อันนี้คือการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

สุดท้ายนี้ เป็นประเด็นสำคัญ เรื่องแรกคือ คือการเคลื่อนไหวของพีมูฟ เป็นเรื่องที่ต้องแก้ปัญหาต่อไป ต้องพิจารณาในคณะทำงานของ คสช. ได้สั่งการไปหมดแล้วนะ เพียงแต่หลายคนใจร้อน เร่งรัด แต่ทั้งนี้ ต้องเข้ากติกาของเรา ไม่งั้นไม่พอ ทุกคนต้องการนู้นนี่กันหมด ถ้าไม่จัดระเบียบให้มันก็กลับไปที่เดิม เหมือนเดิม ต้องเข้าใจกันบ้าง บรรดาแกนนำต่างๆ ต้องระวังในการเคลื่อนไหวด้วย ไม่อยากให้มีปัญหาต่อไปในอนาคต รัฐบาลไม่มุ่งหวังปิดกั้นท่าน เพียงแต่ว่า รับเข้ามาในการพิจารณาของ คสช. ในการจัดที่ดินด้วย ไม่ใช่ชี้ตรงนู้นนี้ เอาที่ดินมาเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นการนำในสิ่งไม่ถูกต้อง

ประเด็นที่ 2 การสร้างบ้านพักตุลาการเชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมไม่สบายใจ ทุกคนไม่สบายใจ ครม.ไม่สบายใจ เป็นกังวลใจมาโดยตลอด เพราะเป็นผลกระทบกับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศ ผมก็ได้ติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานราชการ นักวิชาการ และสื่อทุกแขนงในทุกแง่มุม ทั้งนี้ ไม่ว่าปัญหาจะเกิดจากใคร และเกิดเมื่อไรก็ตาม ผมก็อยากให้พี่น้องประชาชนทุกคนได้มั่นใจว่ารัฐบาลและ คสช.จะพยายามทำอย่างเต็มที่ด้วยความรอบคอบ ก็ขอให้ไว้ใจผมเหมือนที่เคยไว้ใจมาตลอด 4 ปี ว่าเราจะต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ หลายอย่างมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราไปแก้ไขอะไรแบบที่ไม่ระมัดระวังไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศอย่างที่กล่าวมาแล้ว

ปัจจุบันผมได้มอบหมายให้นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะทำงาน เข้าไปพูดคุย หารือ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ก็ทราบว่าการพูดคุยในปัจจุบันเป็นไปในทิศทางที่ดี

สิ่งแรกที่ผมจะให้ทำก่อนเลยก็คือการปลูกป่าขึ้นมาก่อน เรื่องอื่นเดี๋ยวก็พูดคุย เจรจา หารือ คณะทำงานฝ่ายกฎหมายมาดูกัน แต่ข้อสำคัญก็คืออย่าไปแสดงความรังเกียจ ชิงชังข้าราชการของศาล เพราะข้าราชการเหล่านั้นไม่ได้เป็นคนไปสร้างเอง เป็นเรื่องของนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา คราวนี้ก็ต้องมาดูซิว่าจะบริหารจัดการกันได้อย่างไร แต่แน่นอนว่าไม่มีใครไปอยู่แน่นอน ผมก็ยังไม่ได้อนุมัติให้ใครไปอยู่ทั้งสิ้น ลองบริหารจัดการป่าดูซิว่ามันจะใช้เวลาในฤดูฝนหน้า มันจะปลูกป่าขึ้นมาได้ไหม ทำพื้นที่เหล่านั้นให้เป็นพื้นที่ป่าได้เหมือนเดิมหรือไม่ เรื่องอื่นๆ เดี๋ยวก็เจรจาว่ากันต่อไป อย่าเพิ่งมากดดันกันเลย เห็นบอกจะมีการเคลื่อนไหวกันอีก ผมขอร้องนะครับ ไม่งั้นมันจะวุ่นวายไปทั้งประเทศ และจะมีคนมาฉวยประโยชน์เข้าไปอีก

การบริหารต่างๆ นั้น ผมอยากให้พวกเราปรับเปลี่ยนทัศนคติมาสู่การแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ไม่ใช่ในเชิงกดดันกันไปกันมา แล้วมันก็ทำไม่ได้อยู่ดี อย่างการชุมนุมเรียกร้องขอที่ดิน เราก็กำลังดำเนินการอยู่ ถ้าไปกดดันมากๆ มันก็ทำไม่ได้อยู่ดี ทุกคนก็ต้องการมา ต้องการมากที่สุด บางครั้งก็ต้องฟังเหตุผลกันบ้าง

ที่ผ่านมานั้นเราคงคุ้นเคยกับการทำงานของบรรดาสมาชิก หรือ ส.ส.ในสภา มันก็มีอยู่สองฝ่ายนั่นล่ะ คือฝ่ายรัฐบาล กับฝ่ายค้าน ซึ่งต่างคนก็คงทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเหมือนกัน แต่ทีนี้เรามักจะเรียกฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาล ทำไมเราไม่ลองเรียกดู ในทางปฏิบัติ เรียกฝ่ายหนึ่งว่าฝ่ายรัฐบาล กับอีกฝ่ายคือฝ่ายค้านและสนับสนุน ค้านก็คือ มีการตรวจสอบ มีการทักท้วง แต่เรื่องใดก็ตามที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติ เป็นนโยบายที่มีการปฏิรูป ก็ต้องสนับสนุนกัน ไม่อย่างนั้นก็ล้มกันไปหมด มันก็เลยทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ประเทศชาติก็ไม่มีแนวทางในการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน มันอาจจะเปลี่ยนชื่อไม่ได้ แต่ผมอยากจะให้สร้างความรู้สึกใหม่ๆ ขึ้นมา เรียกว่าฝ่ายรัฐบาล อีกฝ่ายก็ฝ่ายค้านและสนับสนุน เพื่อจะได้มีการตรวจสอบด้วย ไม่อยากจะให้ค้านกันไปกันมาทุกเรื่อง ค้านก็เพื่อเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลในสิ่งที่มันควรจะเป็น ติเพื่อก่อ มีข้อเสนอแนะ บนพื้นฐานข้อเท็จจริงและผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง เพื่อสนับสนุนให้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ไม่ว่าจากพรรคใดก็ไม่สำคัญ แต่ต้องมีธรรมาภิบาล มีโครงการ มีแผนงาน มีนโยบายที่ถูกต้อง เหมาะสม ถ้าหากเป็นเช่นนั้นได้ ก็จะเป็นการสร้างวัฒนธรรมการปรองดองที่ไม่ใช่การเอาชนะ คัดค้านกัน เหมือนการโต้วาที ที่มุ่งเป้าหมายตัวเองเป็นหลัก โจมตีกันไปกันมา แล้วก็ปิดทุกประตูทางออก ปฏิเสธทุกข้อเสนอ ทุกความเห็นต่าง เหมือนพยายามจะผลักดันปัญหาเข้าสู่ทางตัน สุดท้ายแล้วประเทศชาติและเราทุกคนก็คือผู้เสียหาย

ดังนั้น คืนนี้ผมก็ขอฝากให้ช่วยกันพิจารณาในการสร้างวัฒนธรรมการปรองดองนี้ เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคมไทย ไม่ได้หมายความว่าปรองดองเพื่อจะหาประโยชน์ร่วมกันอีก มันจะต้องทำให้เกิดธรรมาภิบาลให้ได้ อยู่ที่พวกเราทุกคน ให้เราสามารถบริหารจัดการความขัดแย้งได้ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยกฎหมายปกติที่มีอยู่แล้ว หาจุดลงตัวให้ได้บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง โดยใช้ทั้งนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ร่วมกันในการจะพิจารณาหาทางออก ซึ่งก็เป็นศาสตร์พระราชาที่ได้พระราชทานไว้ให้เป็นมรดกอันล้ำค่าของชาติ

ขอบคุณนะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น