ประชุม สนช.เคาะมติเอกฉันท์เห็นชอบ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ปรับระบบอนุญาต การควบคุมตรวจสอบ และปรับอัตราโทษ ผ่อนผันระยะเวลาให้สอดรับคำสั่ง 33/2560
วันนี้ (26 เม.ย.) ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา พ.ร.ก.บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 โดยกำหนดให้ผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงาน นายจ้างและคนต่างด้าวมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหลายประการ โดยมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและใช้ระบบอนุญาตเกินความจำเป็น ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ อีกทั้งยังกำหนดความผิดและบทกำหนดโทษในอัตรารุนแรงเช่นเดียวกับการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ แม้การใช้แรงงานต่างด้าวโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติตามพระราชกำหนดนี้จะมิได้กระทำโดยมีลักษณะเป็นการค้ามนุษย์ก็ตาม ทำให้เกิดความตื่นตระหนกและส่งผลกระทบต่อนายจ้างทั้งในภาคครัวเรือน ภาคเกษตรกรรม ภาคผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และภาคการค้าและอุตสาหกรรม จนกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
จึงสมควรแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดดังกล่าวโดยให้มีการใช้ระบบอนุญาตเพียงเท่าที่จำเป็น และกำหนดกระบวนการในการควบคุมและตรวจสอบการนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงาน การทำงานของคนต่างด้าว การรับคนต่างด้าวเข้าทำงานให้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวได้ทั้งระบบ รวมทั้งปรับปรุงอัตราโทษให้มีความเหมาะสม นอกจากนี้ การดำเนินการตามมาตรการชั่วคราวที่ผ่อนผันระยะเวลาการใช้บังคับบทกำหนดโทษเพื่อให้นายจ้างและคนต่างด้าวได้มีเวลาดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชกำหนดดังกล่าว ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 33/2560 เรื่องมาตรการชั่วคราวเพื่อแก้ไขข้อขัดข้องในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ลงวันที่ 4 ก.ค. พ.ศ. 2560 ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2560 ส่งผลให้สภาพปัญหาดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้นอีกภายหลังระยะเวลาผ่อนผันสิ้นสุดลง จึงเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
จากนั้นที่ประชุม สนช.ได้ลง มติด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 177 เสียง ไม่เห็นชอบไม่มี และงดออกเสียง 4 เสียง อนุมัติร่าง พ.ร.ก.ดังกล่าว และยังได้ลงมติอนุมัติร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2561 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 176 เสียง ไม่เห็นชอบไม่มี และงดออกเสียง 4 เสียง ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ร่างกฎหมายทั้งสองฉบับ