เมืองไทย 360 องศา
ต้องยอมรับว่าความเคลื่อนไหวเรื่อง"พลังดูด"ของฝ่ายรัฐบาลและคณะรักษาคสามสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เริ่มร้อนแรงและน่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหลังจากการแต่งตั้งตำแหน่งทางการเมืองเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันสองสามราย เริ่มจากการแต่งตั้ง นายสกลธี ภัททิยกุล อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์เป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
จากนั้นก็ตามมาด้วยการแต่งตั้ง นายสนธยา คุณปลื้ม เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และ ตั้งนายอิทธิพล คุณปลื้ม น้องชายเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
แม้ว่าจะมีการปฏิเสธอย่างหนักแน่นออกมาทั้งจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติว่ารวมไปถึงแกนนำในรัฐบาลคนอื่นๆว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมือง แต่ถามว่าจะมีใครสักกี่คนที่เชื่อว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองตามที่พูด
ถึงแม้ว่าจะจริงไม่จริงไม่รู้ แต่ก่อนหน้านั้นก็ได้เห็นความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ส่อให้เข้าใจว่ามีความพยายาม"ดูด"อดีต สส.และ"กลุ่มการเมือง"ในรายจังหวัดสำคัญ ดังที่เกิดขึ้นจากภาพข่าวขณะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร หรือระหว่างที่เดินทางไปตรวจราชการในหลายพื้นที่ตามจังหวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวที่สุพรรณบุรี กลุ่มมัฌชิมาธิปไตยของ สมศักดิ์ เทพสุทิน กลุ่มโคราชของ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ
รวมไปถึงการยกขบวนไปเยี่ยมเยียนพี่น้องตระกูล"สะสมทรัพย์"ถึงสนามกอล์ปที่นครปฐม และตามกำหนดการที่เพิ่งออกมาล่าสุดทำให้รับรู้ว่าในวันที่ 7-8 พฤษภาคมนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่ จังหวัดบุรีรัมย์และสุรินทร์ อีกด้วย และแน่นอนว่าแค่เห็นรายชื่อจังหวัดชื่อของตระกูล"ชิดชอบ"ของเนวิน ชิดชอบ และพรรคภูมิใจไทยก็ลอยมาแต่ไกล และก่อนหน้านั้น อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคก็ย้ำว่าจะไปต้อนรับในฐานะนักการเมือง
ก็สอดคล้องกับคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ย้ำอีกว่าไม่มีการคุยกับนักการเมือง หากพบกันก็พบกันอย่างเปิดเผยพร้อมกับประชาชนทั่วไป ไม่มีการพบกันในที่ลับ ที่ส่วนตัวหรือที่รโหฐานใดๆทั้งสิ้น ซึ่งก็คงจะใช่ เพราะหากจะเจรจาลับกันทางการเมืองมันก็ต้องลับจริงๆคงไม่บอกให้ใครได้รู้ แต่การออกมาต้อนรับของกลุ่มการเมืองบุรีรัมย์หากเกิดขึ้นมันก็ย่อมแสดงนัยทางการเมืองแน่นอน
นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงกลุ่ม"บ้านริมน้ำ"ของ สุชาติ ตันเจริญ ที่เชื่อว่าต่อสายต่อรองกันไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดีอารัมภบทถึงเรื่องดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้นก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองในความหมายที่เรียกกันว่า "พลังดูด"ที่ในวงการเข้าใจกันว่ากำลังออกฤทธิ์แรงขึ้นเรื่อยๆควบคู่ไปกับการตั้งพรรคที่สนับสนุนทหาร หรือ สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบนั่นแหละ ซึ่งล่าสุด นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่เคยมีข่าวว่าจะมาเป็นหัวหน้าหรือเลขาธิการพรรคใหม่ดังกล่าวก็ยอมรับเมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมาว่ามีการคุยกันเรื่องตั้งพรรคจริงเพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้า
อีกด้านหนึ่งความเคลื่อนไหวแบบนี้ย่อมต้องสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสองพรรคใหญ่ ทั้งพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ เพราะหากมีพลังดูดเกิดขึ้นจริงก็ย่อมกระทบกับสองพรรคนี้แน่นอน
ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางป้องกัน สกัดกั้นพลังดูด หรือต้อง"ห้ามเลือด"ให้หยุดไหล ก็ต่องทำทุกวิถีทาง ทางหนึ่งก็คือใช้วิธีเปิดโปง เหมือนกับที่ วัชระ เพชรทอง อดีต สส.ประชาธิปัตย์ที่รับหน้าที่แฉโพยว่ามีการระดมทุนจากกลุ่มธุรกิจจำนวนนับหมื่นล้านบาทสำหรับใช้ในพรรคการเมืองที่จะตั้งขึ้นใหม่ รวมไปถึงการแลกเปลี่ยนหยิบยื่นตำแหน่งทางการเมืองมอบให้ เหมือนกับการ"มัดจำ"เอาไว้ก่อนล่วงหน้า
งานนี้สำหรับประชาธิปัตย์สายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถือว่า"เล่นเกมแรง"ไม่เบา เพราะเดินหน้าถล่มรัฐบาลรายวัน มุ่งเป้าเจาะจงไปที่ระดับ"หัวหน้า"กันเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่อง"พลังดูด"ที่ต้องโวยวายกันถี่ยิบ
ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งสำหรับ "บิ๊กตู่"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็นิ่งเฉยปล่อยให้ผ่านไปไม่ได้ ต้องออกแรงตอบโต้ด้วยตัวเอง ปฏิเสธแบบไม่รู้ไม่ชี้ยืนยันว่า"ไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่น"พร้อมทั้งขู่ฟ้องกราวรูดคนพูดเรื่องระดมทุนตั้งพรรคจากภาคเอกชน มองในเกมแบบนี้ทางหนึ่งก็เหมือนกับต้องการ"ปิดปากหยุดเกม"ไม่ให้กระเพื่อมไปมากกว่านี้ เพราะยังไม่ถึงเวลาดีเดย์ตามที่กำหนดแบไต๋เอาไว้ในเดือนมิถุนายน ถึงตอนนั้นก็จะรู้ว่าหมู่หรือจ่า หรือว่าจะดุเดือดกว่าเดิมต้องอดใจรออีกไม่นาน !!