เมืองไทย 360 องศา
การเคลื่อนไหวทั้งเรื่องทางสงฆ์และทางโลกในเวลานี้ ถือว่าน่าจับตาพอๆ กัน อย่างไรก็ดีนาทีนี้อยากจะให้โฟกัสกันเฉพาะเรื่องราวทางการเมืองกันก่อน หลังจากได้เห็นอาการขยับตัวออกมากันอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะจากพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย ที่ถือว่าเข้มข้นมากกว่าทุกครั้ง
สำหรับพรรคเพื่อไทยยิ่งน่าสนใจและน่าจับตา เพราะตามสภาพทางการเมืองทั้งปัจจุบันต่อเนื่องไปจนถึงอนาคตถือว่าอยู่เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” กับอำนาจรัฐในปัจจุบันทั้งรัฐบาล และ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อเนื่องกันไปจนหลังเลือกตั้ง
ที่กล่าวเช่นนี้เพราะหากพิจารณาจากสภาพธรรมชาติและความเป็นจริง รวมไปถึงสภาพความเป็นพรรคการเมืองของครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร ยังมั่นใจว่า เป็นไปได้ยากที่พวกเขาจะมาร่วมอยู่ในรัฐบาลเดียวกัน หากเทียบกันถึงความเป็นไปได้กับพรรคประชาธิปัตย์
อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพที่ยืนอยู่ตรงข้าม และต้อง “ประจันหน้ากัน” โดยธรรมชาติทางการเมืองในการแย่งชิงอำนาจ แน่นอนว่า เสียงโวยวายเสียงดังย่อมมาจากฝั่งพรรคเพื่อไทยมากกว่าประชาธิปัตย์เช่นกัน แม้ว่าหากพิจารณากันเฉพาะผลกระทบเฉพาะหน้าคงไม่ได้แตกต่างกันเท่าใดนัก โดยเฉพาะผลกระทบจาก “พลังดูด” จากฝ่ายอำนาจรัฐ ทั้งในรูปแบบของรัฐบาลและในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แม้ว่าที่ผ่านมา สำหรับพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเจอกับศึกในที่แทบปะทุแบบซ้ำร้อย “กลุ่ม 10 มกรา” ในอดีต แต่ก็ยังถือว่าในวงในยังมีความคุกรุ่นกันอยู่พอสมควร โดยเฉพาะกับกลุ่ม กปปส. ที่นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่พยายามผลักดันให้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี อีกรอบ ขณะเดียวกัน แม้ว่าเวลานี้บรรดา กปปส. ยังอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์กันเกือบครบ แต่ในอนาคตก็ยังไม่แน่ เพราะก่อนหน้านี้ สุเทพ เพิ่งแสดงท่าทีออกมาให้เห็นแล้วจะตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาเพื่อสืบสานอุดมการณ์ของ กปปส.
แต่ที่แยกตัวออกไปแล้วก็มีอย่างน้อย 2 คน คือ นายสกลธี ภัททิยกุล ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
อย่างไรก็ดี สำหรับพรรคเพื่อไทยถือว่าน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญ และได้รับผลสะเทือนจากพลังดูดที่ว่านั่นคือในวงการรับรู้กันว่าเวลานี้บรรดา “กลุ่มการเมือง” และ อดีต ส.ส. รายจังหวัดถูกทยอยดูดไปหลายจังหวัดแล้ว โดยเฉพาะพื้นที่เป้าหมายในภาคเหนือภาคอีสาน ขณะที่ภาคกลางนั้นไม่ต้องพูดถึง ว่ากันว่า “อยุธยา” ไปกันยกจังหวัดแล้ว
ดังนั้น อย่าได้แปลกใจที่จะได้เห็นปรากฏการณ์ที่บรรดา “ขาใหญ่” ในพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ภูมิธรรม เวชยชัย พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นต้น ยกขบวนใหญ่ไปเยือนบ้าน “สะสมทรัพย์” ถึงสนามกอล์ฟที่นครปฐมกันเลยทีเดียว
ซึ่งภาพที่เห็นก็คงไม่ต้องอธิบายกันให้มากความทุกอย่างมันมีความหมายในตัวเองอยู่แล้ว เพราะหากใครติดตามการเมืองมาแบบต่อเนื่องก็พอมองออกมาว่าที่ผ่านมากลุ่มสะสมทรัพย์เคยให้การต้อนรับกลุ่มอำนาจ คสช. ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาแล้ว คราวนั้นก็เข้าใจกันง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน คือ มาทาบทาม ต่อรองให้ยกทีมกันเข้าก๊วน แม้ว่าคราวนั้นยังอมพะนำ อ้ำอึ้งกันอยู่แต่ถือว่ามีแนวโน้มสูงไม่น้อย หลังจากก่อนหน้านั้นก็มีหลายกลุ่มก๊วนยกทีมเข้าไปแล้ว
ดังนั้น ด้วยภาวะของพรรคเพื่อไทยที่เรียกว่า “เลือดไหลไม่หยุด” แบบที่เห็น จึงจำเป็นอยู่เองที่ต้องรีบหาทาง “หยุดเลือด” ให้ได้โดยเร็ว และนี่แหละจึงน่าจะเป็นที่มาของภาพของการ “ยกขบวนใหญ่” ไปถึงถิ่นสะสมทรัพย์ที่นครปฐมกันแบบเอิกเกริกอย่างที่เห็น แม้ว่านาทีนี้ยังไม่ได้คำตอบที่ชัดเจนว่ายังอยู่หรือไป แต่อย่างน้อยก็ต้องเร่งหาทางสกัดเอาไว้ก่อน ส่วนจะ “เอาอยู่” หรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง !!