เมืองไทย 360 องศา
หากบอกว่าเทศกาลสงกรานต์เป็นเรื่องของการสาดน้ำ แต่ขณะเดียวกันยนับจากนี้ไปจะเป็นช่วงของการ"สาดน้ำลาย"กันแบบเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใกล้วันเลือกตั้งเข้ามาเท่าไรเสียงโจมตีและแรงกดดันก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย
แม้ว่าเวลานี้ยังมีความเสี่ยงที่จะต้องเลื่อนการเลือกตั้งออกไปจากเดิมที่เคยกำหนดเอาไว้ในราวเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เพราะต้องรอดูร่างกฎหมายหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.และพระราชบัญญัติเกี่ยวกับที่มาของ สว.ที่ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามีเนื้อหาขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งก็ต้องรอตามกำหนดเวลา ที่เหนือการควบคุม และแม้ว่าจะมีการเผื่อเวลาเอาไว้แล้ว และยังมั่นใจว่าการเลือกตั้งจะยังเป็นไปตามกำหนดก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์หลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบหลักๆ มันก็มีความเสี่ยงเหมือนกันที่ทำให้การเลื่อนตั้งอาจต้องเลื่อนออกไปอีกก็เป็นไปได้เหมือนกัน
แน่นอนว่ากระแสโจมตีนั้นต้องมาจากฝั่งนักการเมืองและพรรคการเมืองโดยเฉพาะจากสองพรรคใหญ่คือเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์เป็นหลัก แม้ว่าในรายละเอียดจะมาแบบ"แยกส่วน"กันโจมตี แต่เป้าหมายเดียวกันคือมุ่งตรงไปที่รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละ
เพราะหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสิ่งพวกเขาโจมตีมักจะเป็นเรื่องประเด็น"ปากท้อง" รวมไปถึงการดักคอในเรื่อง"เลื่อนเลือกตั้ง"ลักษณะเหมือนกับการกดดันทางอ้อม ไม่ให้เลื่อนการเลือกตั้งออกไปอีก
เริ่มจากฝั่งเพื่อไทย แม้ว่าในช่วงเวลาเดียวกันจะมีการตอบโต้และโหมโจมตีพรรคประชาธิปัตย์กรณีถูกพาดพิงรัฐบาลในยุค ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ใช้งบประมาณไม่เป็นธรรมกับภาคใต้ ซึ่งก็แน่นอนว่าเมื่อ"เจ้าของพรรค"ถูกโจมตี บรรดา"ลูกน้อง"ที่ไม่ต่างจากพนักงานบริษัทชินวัตร ก็ต้องดาหน้าออกมาปกป้องกันเป็นเรื่องปกติ แต่หากแยกเรื่องดังกล่าวออกไป พวกเขาก็ถล่มรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
หากพิจารณาในภาพรวมทั้งสองพรรคต่างมุ่งโจมตีในเรื่องหลักนั่นคือเรื่องปากท้อง หรือเรื่องเศรษฐกิจดังกล่าวแล้ว สิ่งที่พรรคการเมืองพยายามเน้นให้เห็นก็คือชี้ให้เห็นถึง"ความล้มเหลว"ของการแก้ปัญหาของรัฐบาล ตัวอย่างที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ชี้ให้เห็นก็คืองบประมาณที่รัฐบาลทุ่มลงไปนั้น"ได้ผลไม่คุ้มค่า"หรือชี้ให้เห็นว่าการพัฒนากระจุกตัวหรือได้ประโยชน์เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น
ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากเสียงวิจารณ์จากพรรคเพื่อไทย ที่ดาหน้าออกมาชี้ให้เห็นในแบบเดียวกัน เริ่มจากพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีพลังงานในยุค ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่แม้เพิ่งถูก "โอ๊ค"พานทองแท้ ชินวัตร โพสข้อความด่าแบบไม่ให้ราคามาแล้วในกรณีออกมาหนุนลูกชายตัวเองที่วิจารณ์ คุณหญิงวุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ในศึกชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคก็ตาม ถึงอย่างไรก็ยกเอาเรื่องเศรษฐกิจมาอัดรัฐบาล พูดสวนทางกับ "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เพิ่งจะปลื้มกับการประเมินของธนาคารโลกว่าไทยจะมีการเติบโตในปี 2561 ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.1 ซึ่งถือว่าโตมากที่สุดตั้งแต่ปี 55 ซึ่งพิชัยก็ดิสเครดิตสวนไปอีกทางว่า ธนาคารโลกกลับเตือนในทางตรงกันข้ามนั่นคือความล้มเหลวของไทย ผ่านทางธนาคารโลกและการส่งเสียงเตือนจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)
นอกจากการสร้างกระแสโจมตีในเรื่องการใช้อำนาจเกินขอบเขต จากมาตรา 44 ของหัวหน้าคสช.โดยมุ่งเน้นให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่จะเลื่อนการเลือกตั้งหรือเลยร้ายถึงขั้นไม่มีการเลือกตั้งกันเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีหากประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมไปถึงแนวโน้มข้างหน้าเชื่อว่ากระแสโจมตีแบบนี้มันจะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และแน่นอนว่านี่คือความพยายามดิสเครดิตรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้มากที่สุด อย่างน้อยก็ช่วงก่อนการเลือกตั้ง ส่วนจะได้ผลทำให้ฝ่ายตรงข้ามร่วงหรือรุ่งอีกไม่นานก็จะเห็นกัน
เพราะเวลานี้ทางฝ่ายรัฐบาลก็เร่งโหมโปรเจ็กต์ด้านเศรษฐกิจรากหญ้ากันแบบเล็งเห็นผลกันในเวลาจำกัด ต่างเดิมพันสูงด้วยกันทั้งคู่ !!