“ประยุทธ์” แบะท่ารอพรรคใหม่ชวนร่วม ยันไม่ได้รังเกียจการเมือง แต่ขอรอดูนโยบายว่าตรงกับตัวเองหรือไม่ ยอมรับรู้เรื่องรองนายกฯ ตั้งพรรค แต่ยังไม่ได้ทาบทามมา ย้ำต้องลงพื้นที่อยู่แล้ว ขอสื่ออย่าสนที่หาว่าหาเสียง
วันนี้ (10 เม.ย.) เมื่อเวลา 14.20 น. หลังเป็นประธานการประชุม ครม. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการตัดสินใจทางการเมือง หลังมีข่าวนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี สนับสนุนตั้งพรรคการเมืองและจะเชิญให้เป็นที่ปรึกษาพรรคว่า “วันนี้เขาหารือกันอยู่ ก็ให้เขาหารือกันไป ก็ยังไม่เกิดความชัดเจนเกิดขึ้น และถ้าเขาตั้งพรรคขึ้นมาวันข้างหน้าก็ต้องไปดูว่าพรรคไหนเป็นอย่างไร เราควรจะสนับสนุนหรือเปล่า หรือจะสนับสนุนพรรคไหนอย่างไรแต่วันนี้เขายังไม่มาเชิญสักคนเลย”
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกรัฐมนตรีทราบหรือไม่ว่าขณะนี้มีการเคลื่อนไหวที่จะมีการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่และจะเสนอให้ไปเป็นที่ปรึกษาพรรค พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เขาก็คุยกันอยู่ละมั้ง ผมเห็นเขาคุยกันอยู่ แต่เขายังไม่พูดอะไรกับผม และยังไม่มีการทาบทาม แต่ถ้ามีการทาบทามก็ต้องขอคิดดูก่อน ผมบอกแล้วว่าผมจะต้องพิจารณาใคร่ครวญอีกทีว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ นโยบายของพรรคตรงกับที่ผมได้ทำมาแล้วหรือเปล่า มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงและดีขึ้นหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องไปเลือกตั้งเหมือนกับคนอื่นเขาเช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้าพรรคนี้ดีผมก็จะเลือกพรรคนี้ จะสนับสนุนพรรคไหนที่ดี แล้วเขามาขอให้ผมไปช่วยผมก็จะพิจารณา ส่วนจะดีหรือจะเสีย ผมก็ยังไม่รู้เลย”
เมื่อถามว่า การที่พรรคการเมืองจะมาเชิญให้ไปเป็นที่ปรึกษาพรรคจะไม่ปฏิเสธใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ยังไม่ได้รับ แล้วจะไปปฏิเสธยังได้อย่างไร ถึงวันนี้ยังไม่มีใครมาเชิญ และวันนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นว่าจะพูดคุยอะไรกันได้หรือเปล่า เพราะมีหลายพรรคก็บอกว่าจะไม่มาคุยแล้วจะเลือกตั้งท่าเดียวเมื่อไม่มาคุยแล้วจะเลือกตั้งได้อย่างไร ต้องมาคุยกันก่อน
เมื่อถามว่าที่หลายพรรคการเมืองไม่อยากมาคุยเพราะเกรงการผูกมัด พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า จะไปผูกมัดอะไร ตนไม่ได้เชิญมาพูดคุยเพื่อให้แสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ต้องการให้มาพูดคุยว่าจะทำอย่างไรให้แก่ประเทศ ก็จะฟังว่าเขาจะพูดอะไร
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะประกาศความชัดเจนของตัวเองได้เมื่อไหร่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ก็คงใกล้ที่จะเลือกตั้งละมั้ง เพราะผมเองไปเป็น ส.ส.ไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเริ่มมีการพูดคุย ผมก็คงมีความชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรต่อไป”
ต่อข้อถามว่า ความตั้งใจของนายกฯ จะเข้าไปเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค หรือเป็นแค่สมาชิกพรรค พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ไม่รู้ แต่ทุกคนก็ต้องเป็นสมาชิกพรรค ทั้งนี้เมื่อถึงวันที่ต้องตัดสินใจเมื่อเขาเสนอมาก็ต้องดูว่าเขาจะมาขอให้ไปทำหน้าที่อะไร เพราะให้ไปสมัครเป็น ส.ส.ก็ไปไม่ได้ ถ้าจะให้สมัครเป็นอย่างอื่นก็ต้องดูว่าที่เสนอมานั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ที่ตนจะไปช่วยงานเขา แล้วมีใครรับรองได้หรือไม่ว่าเมื่อตนไปอยู่พรรคการเมืองไหนแล้วพรรคนั้นจะชนะ
เมื่อถามว่าหากในการเลือกนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา นายกฯ คิดว่าเพื่อความสง่างามควรให้ ส.ส.เป็นผู้เสนอชื่อ หรือควรให้ ส.ว.เสนอชื่อนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ ถ้าตั้งได้โดยการเสนอชื่อจาก ส.ส.ก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ แต่ถ้าขัดแย้งกันมากๆ ตั้งนายกรัฐมนตรีไม่ได้ ไม่ยอมกัน ก็ต้องเอาคนนอกมาใครก็ได้ ก็ไปเลือกมา
เมื่อถามว่าแต่ขณะนี้ดูเหมือนจะมีชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์เพียงผู้เดียว นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า “สื่อเป็นคนทำให้ฉันดังเอง ก็ลองยกชื่อคนอื่นเข้ามาเป็นนายกฯ คนนอกบ้าง” เมื่อถามว่าถ้าไม่ใช่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ คิดว่าควรจะเป็นชื่อใคร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่รู้เหมือนกันยังนึกไม่ออก
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงวันนี้ไม่รังเกียจการเมืองแล้วใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมเคยรังเกียจใครที่ไหน ผมไม่ได้รังเกียจการเมือง ผมเพียงแต่รังเกียจการเมืองที่ไม่สุจริต ไม่มีธรรมาภิบาล ผมรังเกียจการเมืองที่สร้างความขัดแย้ง พอใจกันหรือยัง หรืออยากจะให้เป็นเหมือนเมื่อปี 2557 หรืออย่างไร ดังนั้น เมื่อเราไม่พอใจการเมืองแบบนั้นก็ต้องไปเลือกกันแบบใหม่ ส่วนจะเลือกใครก็ตามสะดวกพวกท่านเถอะ แต่ถ้าผมลงไปอยู่ด้วยตรงนี้ มีใครรับประกันได้บ้างว่าผมจะได้ ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่า มันคุ้มค่ากับประเทศชาติและคุ้มค่ากับตัวผมหรือไม่ ความคุ้มค่าของผมหมายถึงจะได้ทำงานของผมก็แค่นั้นเอง จะไปคิดอะไรมาก มันเป็นทั้งชะตากรรมและชะตาแบ ที่สื่อถามแบบนี้จะเอาให้ได้กันหรืออย่างไร”
ผู้สื่อข่าวถามถึงการวิพากษ์วิจารณ์การลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ในขณะนี้ว่าเป็นการเริ่มต้นในการหาเสียง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ตนต้องลงพื้นที่อยู่แล้ว สี่ออย่าไปให้ความสำคัญต่อคนที่มองว่าเป็นการหาเสียง ตนต้องการจะลงพื้นที่ไปในทุกจังหวัด ตั้งใจไว้ว่าก่อนจะหมดหน้าที่จะลงพื้นที่ไปในทุกจังหวัดและทุกกลุ่มจังหวัดให้ได้มากที่สุดแค่นั้นเอง เพียงแต่มาตรงกับช่วงเวลาของโรดแมปพอดี
“แล้วจะให้ผมไปทำในตอนไหน ผมก็อยากลงไปพบประชาชนในทุกพื้นที่ และการลงไปก็ไม่ได้ฟังเพียงแต่ส่วนราชการเพียงอย่างเดียว ได้ไปแอบฟังประชาชนพูดบ้างและถามในสิ่งที่ประชาชนอยากจะพูด แม้บางครั้งจะไม่ได้พูดโดยตรงก็ส่งเป็นคลิปหรือเอสเอ็มเอสมา ผมก็นำข้อมูลไปซักไซ้ไล่เลียง ไม่ใช่ว่าทางราชการเสนออะไรมาก็ฟังอย่างเดียว ผมก็ต้องฟังทั้งสองฝ่าย การที่นายกฯ ลงพื้นที่ไม่ใช่ฟังแต่สิ่งดีๆ สิ่งไม่ดีก็เจอและนำมาแก้ไข” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว