มีผลแล้ว! สลค. เวียนหนังสือ ส่วนราชการทั่วประเทศ ใช้ “มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและบระพฤติมิชอบในระบบราชการ” ให้ “หัวหน้าหน่วยงานราชการ” ตรวจสอบข้อมูลทันทีให้ได้ผล เบื้องต้นใน 7 วัน นับจากวันที่ได้รับข้อมูลการทุจริต และหัวหน้าส่วนราชการองค์กรนั้น จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน หากพบข้อเท็จจริงว่า มีการทุจริตให้ หัวหน้าส่วนราชการผู้นั้น มีอำนาจปรับย้ายบุคคลที่ถูกชี้มูลมาประจำการที่ “สำนักนายกรัฐมนตรี” ก่อนได้ ระบุ หากพบ “มีการจงใจให้ข้อมูลเพื่อใส่ร้ายหรือบิดเบือน” ให้พิจารณาดำเนินการลงโทษบุคคลดังกล่าวอย่างเด็ดขาดด้วย
วันนี้ (30 มี.ค.) มีรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เวียนหนังสือด่วนที่สุดถึงหัวหน้าส่วนราชการทั่วประเทศเพื่อรับทราบ มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและบระพฤติมิชอบในระบบราชการ ตามที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เสนอ มีใจความว่า ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอมาตามมาตรา 42 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ประกอบกับมาตรา 264 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ตามที่เลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
“ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐ ถือปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในระบบราชการอย่างเคร่งครัด และให้ใช้กับกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐ มีความผิดเพราะปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนเกิดความเสียหายแก่ทางราชการ”
สำหรับ มาตรการดังกล่าว คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีนโยบายสำคัญและเร่งต่วนในการป้องกันและขจ้ดการทุจริตและประพฤติมิชอบเพี่อปฏิรูประบบการบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นที่เชื่อมั่นและไว้วางใจของประชาชน ซึ่งแม้ที่ผ่านมารัฐบาลจะได้กำหนดมาตรการในการขับเคลื่อนการดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้เกิดผลมาอย่างต่อเนื่อง แต่จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ทั้งจากข้อร้องเรียนและผลการตรวจสอบการทุจริตในระบบราชการ
แสดงให้เห็นว่า ยังคงมีความจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาและการป้องกันและปราบปรามการทุจริตโนระบบราชการ อย่างจริงจังและเข้มงวด เพี่อให้เกิดความเชื่อมั่นในกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบ กระบวนการยุติธรรม และเพี่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และสร้างความเชื่อมั่นและไว้วางใจแก่ประชาชน อันจะเป็นประโยชน์ ต่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน และการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 42 วรรคสาม ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธคักราช 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงกำหนดหลักเกณทํการด่าเนินการเพี่อประโยชน์ในการป้องกับ และปราบปรามการทุจริตในระบบราชการดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ในกรณีที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบของข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ชองรัฐ ให้ส่วนราชการต้นสังกัดด่าเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้แล้วเสร็จ ภายใน 7 วัน แล้วรายงานผลการพิจารณาต่อหัวหน้าส่วนราชการและรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพี่อรับทราบ ทันที และให้พิจารณาดำเนินการทางวินัยหรือทางอาญาโดยเร็วชื่งจะต้องให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ในระหว่างนี้ให้รายงานความคืบหน้าในการด่าเนินการต่อหัวหน้าส่วนราชการหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพี่อทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม
กรณีที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีเหตุน่าเชื่อถือ และเป็นกรณีที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการหรือทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน แม้ผลการตรวจสอบยังไม่อาจสรุป ความผิดได้ชัดเจนถืงชั้นชี้มูลความผิด ให้พิจารณาปรับย้ายข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ไปดำรงตำแหน่งอื่นเป็นการชั่วคราว เพี่อประโยชน์ในการตรวจสอบและป้องกันการกระทำที่อาจมีผลต่อการตรวจสอบโดยเร็ว และในกรณีที่เป็นเรื่องร้ายแรงหรือมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ของประชาชน ให้เสนอให้มีการย้ายหรือโอนไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งในอัตรากำลังชั่วคราว เป็นกรณีพิเศษในสำนักนายกรัฐมนตรี และดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดชี้นตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 16/2558 เรื่อง มาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการ ถูกตรวจสอบ และการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราว ลงวันที่ 14 พฤษภาคม พุทธศักราช 2558 หรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 68/2559 เรื่องมาตรการแก้ปัญหาเจ้าหน้าที่ ในหน่วยงานอื่นของรัฐและการกำหนดกรอบอัตรากำลังชั่วคราวลงวันที่ 16 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2559 แล้วแต่กรณี
ข้อ 2 ในกรณีที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วพบว่ามีหลักฐานควรเชื่อได้ว่าสามารถสรุปความผิดได้ชัดเจนถืงขั้นชี้มูลความผิด ให้ส่วนราชการต้นสังกัดดำเนินการทางวินัยต่อข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องอย่างเด็ดชาดโดยเร็ว และให้รายงานหัวหน้าส่วนราชการและรัฐมนตรี เจ้าสังกัดเพื่อทราบความคีบหน้าและเร่งรัดการดำเนินการอย่างสมาเสมอ
ทั้งนี้ อาจพิจารณาให้ข้าราชการหรีอเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นออกจากราชการไว้ก่อนหรือออกจากดำแหน่งก็ได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม และในกรณีที่พบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทางอาญาด้วย ให้ส่งเรื่องให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบเพื่อพิจารณาดำเนินคดีโดยทันที
กระบวนการพิจารณาดำเนินการตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ และระเบียบ ที่เกี่ยวข้องตามปกติ แต่ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วโดยพิจารณาจัดลำดับตามความสำคัญ ความสนใจของประชาชน และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขี้น
ในกรณีที่ดำเนินการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือเป็นความผิด ทางวินัยอย่างร้ายแรง แต่ไม่ถืงขั้นให้ปลดออกจากราชการหรือไล่ออกจากราชการ ให้ส่วนราชการต้นสังกัดดำเนินการปรับย้ายจากตำแหน่งเติม และห้ามปรับย้ายกลับไปดำรงตำแหน่งหน้าที่ ในลักษณะเดิม หรือแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสูงขึ้นภายในเวลา 3 ปี นับแต่วันที่มึการลงโทษทางวินัย
ข้อ 3 การปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาล หรือ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ทำให้การปฏิบัติราชการเกิดความล่าช้าหรือไม่มีประสิทธิภาพซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ หรือทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน ให้ถือเป็นกรณีที่ต้องพิจารณาให้มีการย้ายหรือโอน ไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอื่นตามข้อ 1 วรรคสองด้วย
ข้อ 4 ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาจ้ดให้มีมาตรการคุ้มครองพยาน หรือผู้ให้ข้อมูลหรือเบาะแสในการตรวจสอบอย่างเหมาะสม เพื่อให้การได้รับข้อมูลและหลักฐาน ในการดำเนินการต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริตและประพฤติมิชอบเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ในกรณีที่ตรวจสอบพบว่ามีการจงใจให้ข้อมูลเพื่อใส่ร้ายหรือบิดเบือนข้อมูลเพื่อให้ มีการดำเนินการที่เป็นผลร้ายต่อบุคคลอื่นให้พิจารณาดำเนินการลงโทษบุคคลดังกล่าวอย่างเด็ดขาดด้วย
ข้อ 5 ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ยึดถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์นื้เดยเคร่งครัดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป