xs
xsm
sm
md
lg

นายกฯวอนช่วยรักษาบรรยากาศช่วงสู่เลือกตั้ง เพื่อประชาธิปไตยมีคุณภาพไม่ซ้ำรอยก่อนปี 57

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ประยุทธ์" วอนช่วยกันรักษาบรรยากาศช่วงที่กำลังเดินหน้าสู่เลือกตั้ง อย่าโจมตีกันด้วยข้อมูลที่บิดเบือน ประเทศจะได้มีประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ไม่วุ่นวายเหมือนก่อนรัฐประหารปี 57 ชม "ละครบุพเพสันนิวาส" ช่วยส่งเสริมสืบสานความเป็นไทย

วันนี้ (16 มี.ค.) เวลา 20.15 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า ขอร้องว่าขณะนี้เรากำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ก็ขอให้รักษาบรรยากาศ รักษามุมมองของต่างประเทศกับเราให้ดีที่สุด จะเห็นได้ว่าวันนี้เขาให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาประเทศ ในเรื่องของการเมือง ในเรื่องของประชาธิปไตยก็เดินไป เป็นเรื่องของโลกใบนี้ ที่วันนี้ให้กำลังใจกับธุรกิจ การดูแลประชาชน สิทธิมนุษยชนต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลนี้ก็ทำทุกอย่าง แน่นอนมันต้องมีปัญหาอยู่บ้าง

นายกฯ กล่าวอีกว่า อย่างที่กล่าวไปแล้ว การเมืองที่ทุกฝ่าย สังคม ให้ความสนใจ ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ ตามขั้นตอน ช่วยกันลดความสับสน อลหม่าน วุ่นวาย บิดเบือน โจมตี ในสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ช่วยกันลดลงให้ได้ เพื่อจะเดินหน้าประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ซึ่งอะไรที่มีคุณภาพ ไม่มีคุณภาพ ก็ย้อนกลับไปดูก่อนปี 57 ที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง เราก็น่าจะรู้แล้วว่าเราต้องทำอะไร ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไร อะไรดี อะไรไม่ดี เราพูดกันมามากแล้ว รัฐบาลก็ไม่สามารถจะตอบโต้ได้ทุกประเด็น เราพูดบิดเบือนอะไรไม่ได้ เราต้องพูดแต่ข้อเท็จจริง เรื่องการลงโทษ เรื่องการสอบสวน เรื่องการทุจริต รัฐบาลนี้ก็กำลังดำเนินการอยู่ทุกประเด็น ทุกเรื่อง

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงละครดังด้วยว่า ช่วงนี้นอกจากงานอุ่นไอรักคลายความหนาว ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยแล้ว โชคดีที่เรามีละครบุพเพสันนิวาสเข้ามาเสริมกันอย่างลงตัว ก็ไม่ได้หมายความว่าดีที่สุด ก็เป็นละครที่ดี ในเวลานี้ ก็สอดคล้องกับพระราโชบาย ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสืบสานรักษาและต่อยอด

หลายคนอาจจะมองว่าเป็นกระแส เป็นลมเพลมพัด ไม่นานก็จางหาย แต่ตนก็มั่นใจ ว่าอยู่ในสายเลือดของพวกเราทุกคน ทั้งอุดมการณ์ ความรักชาติ คุณธรรม จริยธรรม รวมไปถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของประเทศ เราจะต้องมีความหวงแหนในขนบธรรมเนียมประเพณีงดงามมาแต่โบราณกาล ได้แก่ การแต่งกาย ภาษา ไปจนถึงโบราณสถาน โบราณวัตถุ ซึ่งเราก็มีสถานที่น่าสนใจทางวัฒนธรรมจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างไว้ให้ลูกหลาน

ตนก็ดีใจที่คนไทยไม่ได้เคอะเขินที่จะแต่งกายย้อนยุคออกจากบ้านไปในสถานที่ต่างๆ อยากเห็นบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยตามโอกาสต่างๆ หรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในแต่ละท้องที่ ซึ่งชาวต่างชาติเองต่างก็เห็นคุณค่า ให้ความชื่นชมในการแสดงออกลักษณะนี้ และเราในฐานะลูกหลานก็ควรได้ตระหนักช่วยกันอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติให้ลูกหลานของเราสืบไป อันนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เราควรจะทำ
คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน [16 มีนาคม 2561]

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน วันนี้พวกเราทุกคนก็ทราบดีว่ามีเรื่องราวข่าวสารมากมาย ปริมาณมหาศาล ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา ทั้งมาจากสื่อโซเชียล จากการพูดคุย เหล่านี้มีทั้งข้อจริงและข้อเท็จ เป็นข่าวลือและข่าวลวงอยู่บ้าง ก็เหมือนน้ำในคลอง เราก็ต้องแกว่งสารส้มให้ตกตะกอนนอนก้นก่อน เราจะได้เห็นน้ำใสๆ อยู่ข้างบน ผมก็อยากให้คนไทยทุกคนควรยึดหัวใจนักปราชญ์ในการใช้ชีวิตก็คือสุ จิ ปุ ลิ แปลความหมายว่าคือฟัง คิด ถาม เขียน หมายถึง ว่าจะฟังก็ต้องฟังหูไว้หู หรือถ้าจะเป็นคนรักการอ่าน ก็ต้องมีภูมิคุ้มกัน โดยรู้เท่าทัน จากนั้นต้องคิดตาม ให้รอบด้าน ใช้เหตุใช้ผล หากสงสัยต้องไต่ถามผู้รู้ ผู้ที่เชื่อได้ เพื่อจะตรวจสอบความถูกต้อง ซักซ้อมความเข้าใจ แล้วฉลาดที่จะขีดเขียนจดจำแพร่ต่อ ว่าอะไรคือสาระ อะไรคือแก่นสาร ก็ควรจะบันทึกเก็บไว้เป็นองค์ความรู้เป็นประวัติศาสตร์ ส่วนที่เป็นกระพี้ คือเปลือกนอก ก็อย่าไปเสียเวลามากนัก บางทีก็ไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับสังคม กับประชาชนเลย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความขัดแย้งในช่วงระยะเวลาอันสำคัญยิ่งนี้

อาทิ วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันช้างไทย สิ่งที่เป็นสาระน่าศึกษาก็ได้แก่ ปัจจุบันนั้นประชากรช้างไทยเหลือเพียง 6,000 ตัว โดยประมาณ ถึงแม้ว่าเราจะดูแลอย่างไรก็ตาม มีจำนวนจำกัด จากประชากรช้างทั่วโลก 750,000 ตัว สำหรับประวัติศาสตร์ของชาติไทยนั้น มีความผูกพันกับช้างมายาวนาน ภาษาไทยจึงมีสรรพนามสำหรับช้างแตกต่างกัน เช่น ช้างป่า เราเรียกว่าตัว แต่ถ้าอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เราเรียกว่า โขลง เมื่อช้างนำมาฝึก มาเลี้ยงไว้ใช้ในบ้าน เราเรียกว่าเชือก แต่ถ้าเป็นช้างหลวง เราใช้สรรพนามว่า ช้าง สำหรับช้างตัวผู้เราเรียก ช้างพลาย ส่วนช้างตัวเมียเราเรียก ช้างพัง นั่นคือความงดงามทางภาษาของเรา เป็นไทยนิยมอีกอย่างหนึ่งที่คนไทย เด็กไทย ควรจะเรียนรู้ รับรู้ไว้ไม่ลืมเลือน ใช้ให้ถูกต้อง เพราะการใช้ภาษานั้นจะสะท้อนระดับการศึกษาของผู้พูด

หากจะพูดถึงสาระที่เป็นความสำเร็จของรัฐบาลนี้ที่เกี่ยวข้องกับช้าง รวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าและพันธุ์พืชที่ใกล้จะสูญพันธุ์หรือถูกคุกคาม ที่เรารู้จักในนามอนุสัญญาไซเตสนั้น คนไทยบางส่วนอาจจะลืมไปแล้ว แต่ประชาคมโลกก็ได้จารึกว่ารัฐบาลนี้ และ คสช. ได้ใช้ความพยายามทั้งในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด และกระบวนการยุติธรรมเข้ามาแก้ไขปัญหา การค้างาช้างในประเทศไทย จนผลเป็นที่ยอมรับในเวทีนานาอารยชาติ หลังจากที่เป็นปัญหาคู่สังคมไทยมาหลายสิบปี ผมก็อยากจะเรียกร้องให้ทุกคน ทุกฝ่ายช่วยกันรักษาสิ่งดีๆ ที่เราทำไว้ให้นี้ต่อไป

วันนี้อาจจะมีปัญหาเรื่องคนกับช้างอยู่บ้าง เราต้องแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องไม่ให้มีผลกระทบคนมากนัก วันนี้เราก็ได้มีการปิดถนนบางเส้นไป แล้วก็ต้องไปดูแลช้าง บางทีก็มีช้างเกเรอยู่ด้วย ต้องหามาตรการว่าจะทำยังไงกับช้างเกเรเหล่านั้น ที่อยู่ที่อาศัยจะทำยังไง อันนี้ก็ต้องมองหลายด้านด้วยกันย้อนมาที่หัวใจนักปราชญ์อีกครั้ง ผมไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องเป็นนักปราชญ์ หรือปราชญ์อะไรที่ว่า เดี๋ยวก็มีคำพูดบิดเบือนไปอีก เพียงแต่นักปราชญ์นั้นเป็นสัญลักษณ์ของผู้ใช้สติปัญญาในการแก้ปัญหา และในการดำรงชีวิต

ดังนั้น ผมเพียงต้องการให้ทุกคนรักการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาตนเอง เนื่องจากจะทำให้คนไทยในยุคดิจิตอล มีลักษณะสำคัญ 2 ประการ ก็คือ 1. รู้อะไรให้รู้จริง รู้อิงหลักวิชาการและหลักเหตุผล และ 2. ทำอะไร ทำให้ถูกกฎกติกา มารยาทสากล และกฎหมายด้วย

พี่น้องประชาชนที่รัก สำหรับกรณีการร้องเรียนเรื่องการทุจริต ที่มีความถี่มากขึ้น และหลากหลายประเด็นในสังคมทุกวันนี้นั้น อาจถูกบิดเบือนว่า มีการกระทำทุจริตมากขึ้น ภายใต้การบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลนี้ และ คสช. ผมอยากให้ตรึกตรองดูให้ดี ให้ใช้ใจมอง ใช้ปัญญากลั่นกรอง เราก็จะเห็นมุมสว่างของปัญหานี้ ก็เป็นแง่ดีในสังคมไทยปัจจุบัน อย่างที่ผมเห็นหลายประการ ตัวอย่างเช่น เราจะเห็นความจริงว่าปัญหาทุจริตนั้นมีอยู่ทุกระดับในสังคม ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพียงแต่ปัญหาเหล่านั้นเคยเป็นปัญหาอยู่ใต้พรม แล้วก็ถูกเปิดเผยสู่สังคมด้วยบทบาทของสื่อโซเชียล บางอย่างก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน การสืบสวน เหล่านี้ ซึ่งใช้เวลาแต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบทบาทที่สร้างสรรค์ของโซเชียลนี้ จะเป็นการทำหน้าที่ที่ควรส่งเสริม ทำให้เกิดความรวดเร็วขึ้น หากแต่จะต้องมีความรับผิดชอบในการตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร ก่อนนำเข้าสู่ระบบเครือข่าย

ประเด็นต่อไปก็คือเรื่องระบบรับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาลนี้ ได้มีการเปิดกว้าง และเข้าถึงง่ายกว่าที่ผ่านๆ มา หลายคนก็บอกว่ารัฐบาลนี้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น ผมก็ได้เปิดช่องทางหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นสายด่วน 1111 หรือสายด่วน 1567 ศูนย์ดำรงธรรม หรือ คสช. ก็มีช่องทางทั้งหมด ต้องดูสมัยก่อนๆ นี้มีไหม เรื่องแบบนี้ ร้องเรียนที่ไหนได้บ้าง ได้มีการแก้ไขปัญหาบ้างหรือเปล่า วันนี้แม้เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มาจากต่างจังหวัด ก็สามารถกรอกข้อความเพื่อจะร้องเรียน และเมื่อมีหลักฐาน ก็นำไปสู่กระบวนการตรวจสอบในที่สุด ตามที่เป็นข่าวในทุกวันนี้

นอกจากนี้ ยังสะท้อนได้จากสถิติ 3 ปีที่ผ่านมา มีการขอให้รัฐช่วยดำเนินการมากกว่า 3 ล้านเรื่อง ไม่ใช่น้อยๆ นะ 3 ล้านเรื่อง และเราก็สามารถดำเนินการไปแล้ว ได้ข้อยุตติ ร้อยละ 98 อันไหนที่ซับซ้อน ก็อยู่ใน 2 ประเด็นที่ว่านั่นล่ะ ต้องมีการสอบสวน มีการดำเนินการหลายๆ อย่าง มีการใช้จ่ายงบประมาณ มีการจัดทำแผนงานโครงการใหม่ หมายถึงว่าวันนี้ รัฐบาลนี้เข้าไปดูทุกเรื่องไม่ว่าจะปัญหาน้อยใหญ่ ย่อมถึงมือผู้รับผิดชอบทั้งสิ้น เมื่อเสนอมา ผมก็ส่งให้หน่วยงานแก้ไข และรัฐบาล คสช. ก็จะติดตามผลความคืบหน้าในการดำเนินการดังกล่าว ไม่ใช่ส่งมาแล้วเก็บไว้เฉยๆ เรื่องเยอะมาก หลายเรื่องก็ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ปัญหาในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความเดือดร้อน หรือการทุจริต ถ้าไม่มีช่องทางที่ผมกล่าวมา พี่น้องก็ต้องหันไปพึ่งผู้มีอิทธิพลบ้าง นักการเมืองไม่ดีบ้าง ก็จะกลายเป็นหนี้บุญคุณ ส่งผลต่อการเลือกตั้ง เพราะนิสัยคนไทยคือเกรงใจคนและรู้จักบุญคุณคน อันนี้ก็ขอให้แยกให้ออก ผมไม่ว่าถ้าจะมีความกตัญญูรู้คุณ แต่ต้องในทางที่ถูกต้อง แล้วก็รู้จักบุญคุณของประเทศชาติ รู้บุญคุณของแผ่นดินสำคัญกว่า

อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อเปรียบเทียบเรื่องการทุจริตแล้ว ไม่ปรากฏการทุจริตในระดับนโยบายที่ส่งผลกระทบที่รุนแรงและกว้างขวาง หลายเรื่องศาลก็ติดสินลงมาแล้ว บางส่วนก็ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม เราต้องให้ความเป็นธรรมหาหลักฐาน ทั้งพยานบุคคล วัตถุพยานต้องทำให้ได้แต่ทุกเรื่องที่มีมูลความผิดจริง รัฐบาลนี้ก็ผลักดันเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทั้งหมด เนื่่องจากเป็น 1 ใน 3 ด้านประชาธิปไตยของประเทศ โดยฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการย่อมมีเสรีภาพในส่วนของตนไม่มีการก้าวก่ายจะทำงานต้องเกื้อกูลกัน บูรณาการกัน เพื่อประเทศชาติและประชาชน

สำหรับเรื่องสำคัญอีกเรื่องคือเรื่องจิตสำนึกของคนในสังคม เพราะว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด วันนี้คนไทยมีจิตสำนึกมากขึ้น กล้าแสดงออกในทางที่ถูก ที่่ผิดก็เยอะ เพราะฉะนั้นผมขอแสดงในทางที่ถูกจะดีกว่า ตระหนักถึงภัยเงียบจากการทุจริตที่ถ่วงความเจริญคนไทยมาอย่างช้านาน วันนี้เราจะไม่ยอมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น หรือลอยนวลได้ แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม

ในการนี้ผมขอน้อมนำพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ให้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานแก่คณะผู้พิพากษาประจำศาลยุติธรรมที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่ครั้งแรก วันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา มีใจความสำคัญหลายประการ อาทิ

1.ให้ยึดมั่นในศีลธรรม จรรยาบรรณของผู้พิพากษา ไม่ออกนอกกรอบที่ผิดจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ และศึกษามาว่า อะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรไม่ดี อะไรที่จะทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อชาติบ้านเมือง ขอให้มีสติ มีปัญญา มีทัศนคติที่ถูกต้อง และมีความยุติธรรมให้กับประชาชน

2.กฎหมายในประเทศใดมีไว้รักษาสิทธิ รักษาความปลอดภัย รักษาความสงบ แต่กฎหมายนั้นมีความลึกซึ้ง ใช้ให้ดีก็ดี ใช้ไม่ดี หรือหาช่องโหว่ต่างๆ ก็ไม่ดี เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์

และ 3.การปฏิบัติหน้าที่ในพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์นั้น หมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ในนามของสถาบันทั้ง 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ซึ่งเป็นสถาบันที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาติ และเพื่อความสุข ความร่มเย็น ความมั่นคงของราชอาณาจักร หรือบ้านของเรา ด้วยความยุติธรรม ถูกต้อง และโปร่งใสนั่นเอง

ทั้งนี้ กระบวนการยุติธรรมจะต้องเป็นที่พึ่งให้กับสังคม ซึ่งเริ่มตั้งแต่ตำรวจ อัยการ จบที่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ซึ่งล้วนต้องว่ากันด้วยหลักฐานทั้งสิ้น มีการต่อสู้คดี อัยการ ทนาย อันนั้นเป็นขั้นตอนทางกฎหมาย ซึ่งเราละเว้นไม่ได้ ไม่เพียงแต่เท่านี้ ผมอยากฝากไปถึงข้าราชการทุกคนที่เป็นผู้ทำงานต่างพระเนตรพระกรรณในบทบาทผู้บังคับใช้กฎหมาย ต้องไม่แสวงประโยชน์จากช่องว่างของกฎหมาย ไม่ตีความเพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือพวกพ้อง ค่อนข้างจะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญดำรงไว้ซึ่งความเสมอภาคในสังคม เมื่อมีความเสมอภาคแล้ว ความยุติธรรมคงอยู่คู่สังคมของเราต่อไป

พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ เป็นเรื่องที่น่ายินดีในช่วงนี้ เป็นผลสำเร็จที่มาจากความเพียรของทุกฝ่าย ประกอบกับความร่วมมือของทุกภาคส่วนด้วย ผมอยากจะขอบคุณ และขอให้พวกเราทุกคนได้ร่วมกันภาคภูมิใจกับผลการจัดอันดับประเทศที่ดีที่สุด ประจำปี 2561 จัดทำโดย U.S. News & World Report เป็นผลการศึกษาของบริษัทเอกชน ร่วมกับมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียที่มีชื่อเสียง และน่าเชื่อถือเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยการตอบแบบสอบถามของนักธุรกิจ และคนรุ่นใหม่ทั่วโลกมากกว่า 2.1 หมื่นคน ความคิดเห็นของประเทศต่างๆ ใน 9 มิติ อาทิ คุณภาพชีวิต สิทธิพลเมือง สิทธิทางวัฒนธรรม มรดกวัฒนธรรม โอกาสการเติบโตในอนาคต โอกาสในการทำธุรกิจ ความสามารถของผู้ประกอบการ การท่องเที่ยวผจญภัย เป็นต้น เพื่อจะนำผลลัพธ์ที่ได้มาจัดลำดับรวม โดยประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศที่ดีที่สุดจาก 80 ประเทศ ถึง 3 ด้านด้วยกัน อันได้แก่

1.ด้านการท่องเที่ยวผจญภัย ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 4 เป็นผลจากความเป็นมิตรของนักท่องเที่ยวคนไทย เป็นสยามเมืองยิ้ม รักความสนุกสนาน รวมทั้งสภาพอากาศบ้านเราที่เหมาะสม มีธรรมชาติที่สวยงาม มีสิ่งดึงดูดความสนใจอยู่หลายแห่ง ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติมีการใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวในไทย เฉลี่ยเกือบ 5 หมื่นบาทต่อครั้ง 1,530 เหรียญสหรัฐ นับว่าเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ ที่สามารถกระจายไปสู่พี่น้องในชุมชน และพื้นที่ห่างไกลต่างๆ ได้โดยตรง แหล่งท่องเที่ยวผจญภัยเหล่านี้คือ ต้นทุน คือธรรมชาติที่เป็นทรัพยากรคู่ท้องถิ่น คู่บ้านเมือง ที่เหลือคือ ชุมชนเอง ต้องมีการบริหารจัดการ การให้บริการข้อมูล การอำนวยความสะดวก การเดินทาง ที่พัก ห้องน้ำห้องท่า ความสะอาดถูกสุขลักษณะ การดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งกลไกประชารัฐในพื้นที่ช่วยได้มาก

ที่สำคัญต้องไม่เอาเปรียบ ไม่ขูดรีดนักท่องเที่ยว หรือหลอกลวง ในส่วนของรัฐบาลก็จะดูแลในภาพใหญ่ เพื่อจะเชื่อมโยงการคมนาคมทั้งทางถนน ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ เพื่อให้ความเจริญเข้าถึงทุกพื้นที่ มีความสะดวกและรวดเร็ว มีการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ตให้ครบทุกหมู่บ้านกว่า 75,000 แห่ง เพื่อใช้ในการหาข้อมูล การทำธุรกรรม และการติดต่อ สื่อสารต่างๆ ได้ทั่วไทย รวมทั้งขยายผลการท่องเที่ยวในเมืองรองให้มากขึ้น จะเริ่มจากนักท่องเที่ยวในประเทศก่อน แล้วขยายผลไปยังนักท่องเที่ยวต่างประเทศไปพร้อมๆ กันให้มากขึ้นในระยะต่อไปเพื่อจะให้มีการกระจายรายได้ และมีโอกาสสร้างงาน สร้างอาชีพลงสู่ท้องถิ่น

2.ด้านโอกาสการเติบโตในอนาคต ไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 6 เป็นผลมาจากการรักษาเสถียรภาพของประเทศ ความมั่นคง ปลอดภัย เป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจ ของนักลงทุน และรัฐบาลต่างประเทศ โดยรัฐบาลนี้ และ คสช.มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ในการที่จะสร้างความมั่นคงมั่งคั่งอย่างยั่งยืน โดยการผลักดันให้มียุทธศาสตร์ชาติระยะยาว 20 ปี มีแผนปฏิรูปประเทศที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แต่สิ่งที่ดำเนินการได้ในทันที เราไม่ได้รีรอ เช่น นโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือที่ทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดีแล้วในขณะนี้คือ EEC เรามุ่งส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ล้วนสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของโลกในอนาคต ซึ่งจะเป็นแหล่งบ่มเพาะนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ วิศวกร แรงงานที่มีทักษะ และนวัตกรรมใหม่ๆ ของเราเอง โดยมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง มีการยกระดับการให้บริการภาครัฐที่สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่าย และการอำนวยความสะดวกในการติดต่อขออนุญาตประกอบธุรกิจ Ease of doing business เป็นต้น

ที่กล่าวมานั้นเป็นต้นแบบ สำหรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้ง 10 แห่ง ในอนาคต ก็เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศระยะยาวที่ชัดเจน สามารถจะดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนระยะยาว และองค์ความรู้ - เทคโนโลยีชั้นสูงจากความเชี่ยวชาญสาขาต่างๆ เข้ามาช่วยยกระดับศักยภาพ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งคุณภาพชีวิตของประชาชนในภาพรวมของประเทศได้

และ 3.ด้านมรดกทางวัฒนธรรมไทยเราได้รับอันดับที่ 8 โดยเฉพาะด้านอาหารที่ประเทศไทยของเราได้คะแนนสูงเท่ากับประเทศฝรั่งเศส เพราะเรามีทั้งอาหารที่มีเอกลักษณ์ มีรสชาติเป็นที่ชื่นชอบของชาวโลก เช่น แกงมัสมั่น ได้อันดับ 1 ของโลกตามที่ CNN ได้จัดอันดับ 50 สุดยอดอาหารเด็ดจากทั่วโลก รวมทั้งต้มยำกุ้งและส้มตำ ซึ่งผมได้เล่าให้ฟังเมื่อสัปดาห์ก่อน อีกทั้งผลไม้เมืองร้อน ที่หลากหลาย หากินง่ายตามฤดูกาลได้ตลอดทั้งปี โดยรัฐบาลต้องบริหารจัดการน้ำ และ ดูแลปริมาณการผลิตให้เหมาะสมกับตลาดไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป เพื่อราคาจะได้ไม่ตก ทำให้ไม่ต้องมาแก้ปัญหาภายหลังกันอีก เช่นที่ผ่านมา

ในเรื่องเหล่านี้ก็น่าภูมิใจที่ต่างประเทศประเมินประเทศไทยในทางที่ดี แต่ก็ไม่เข้าใจที่มีบางคน พยายามจะบิดเบือน พยายามจะให้ข่าวที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง เพื่อหวังผลในเรื่องการเมืองอย่างเดียว ฉะนั้นก็อยากให้สังคม สื่อต่างๆ ช่วยระมัดระวังในการให้ข่าวลักษณะนั้นๆด้วย

ช่วงนี้นอกจากงานอุ่นไอรักคลายความหนาว ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานให้แก่ปวงชนชาวไทยแล้ว โชคดีที่เรามีละครบุพเพสันนิวาสเข้ามาเสริมกันอย่างลงตัว ก็ไม่ได้หมายความว่าดีที่สุด ก็เป็นละครที่ดี ในเวลานี้ ก็สอดคล้องกับพระราโชบาย ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสืบสานรักษาและต่อยอด

หลายคนอาจจะมองว่าเป็นกระแส เป็นลมเพลมพัด ไม่นานก็จางหาย แต่ผมก็มั่นใจ ว่าอยู่ในสายเลือดของพวกเราทุกคน ทั้งอุดมการณ์ ความรักชาติ คุณธรรม จริยธรรม รวมไปถึงควาวมจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของประเทศ เราจะต้องมีความหวงแหนในขนบธรรมเนียมประเพณีงดงามมาแต่โบราณกาล ได้แก่ การแต่งกาย ภาษา ไปจนถึงโบราณสถาน โบราณวัตถุ ซึ่งเราก็มีสถานที่น่าสนใจทางวัฒนธรรมจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจที่บรรพบุรุษของเราได้สร้างไว้ให้ลูกหลาน

ผมก็ดีใจที่คนไทยไม่ได้เคอะเขินที่จะแต่งกายย้อนยุคออกจากบ้านไปในสถานที่ต่างๆ ผมอยากเห็นบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยตามโอกาสต่างๆ หรือแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในแต่ละท้องที่ ซึ่งชาวต่างชาติเองต่างก็เห็นคุณค่า ให้ความชื่นชมในการแสดงออกลักษณะนี้ และเราในฐานะลูกหลานก็ควรได้ตระหนักช่วยกันอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติให้ลูกหลานของเราสืบไป อันนี้ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เราควรจะทำ

สำหรับในวันอังคาร รัฐบาล ครม.ได้มีการแต่งชุดผ้าไทยอยู่แล้ว ผมก็ไม่ได้ห้าม ใครจะแต่งชุดไทยย้อนยุคเข้าประชุม หรือข้าาราชการจะแต่งชุดไทยย้อนยุคมาทำงานก็ได้ ผมก็อยากจะเห็นหลากหลายแพร่ไป ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษา หรือสถานการทำงานของเอกชน ธุรกิจต่างๆ ถ้าแต่งชุดเหล่านี้มาทำงาน ก็ดูน่าสนใจดีนะ แล้วก็ดูทุกคนก็มีบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลง ไม่ซึมเศร้า เหงาหงอย แต่ข้อสำคัญก็คืออย่าไปบังคับ

ถ้าทำได้ในการท่องเที่ยว มีคนมาใช้เพื่อถ่ายรูป หรือเที่ยวในพื้นที่ที่มีโบราณสถาน ก็เป็นภาพที่งดงาม ทุกคนก็อยากได้ทั้งนั้นแหละ ก็จะเกิดอาชีพรายได้ขึ้นมา ข้อสำคัญก็คืออย่าไปขึ้นราคา หรือไปหลอกหลวง อะไรต่างๆเหล่านี้ ก็ขอให้ทำให้สุจริต แล้วการผลิตผ้าไทยต่างๆ ออกมาก็จะมีคนใช้มากขึ้น เพิ่มงาน เพิ่มรายได้ เขาเรียกว่าการสร้างนวัตกรรมใหม่ขึ้นมาโดยวัฒนธรรม

นอกจากนี้แล้ว U.S. News and World Reportได้มีการจัดอันดับของประเทศที่ดีที่สุด ในด้านอื่นๆเพิ่มเติมอีกด้วย อาทิ ในปีนี้ ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่ดีที่สุดในโลก สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจวัดจากมุมมองด้านต้นทุนการเริ่มธุรกิจต้นทุนในการผลิต ความคล่องตัวมากขึ้นของระบบราชการการเชื่อมโยงกับประเทศต่างๆทั้งด้านระบบขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการบริการทางการเงินที่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น

ทั้งนี้ การเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทยใช้เวลาเพียง 5 วัน อันนี้ก็เป็นผลมาจากความพยายามอย่างยิ่งยวดของภาครัฐ ในการปรับลดขั้นตอน และอุปสรรค ในการดำเนินธุรกิจ ทั้งในเรื่องเอกสาร และการขออนุญาตประกอบธุรกิจ ณ ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ One Stop Service เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ

ซึ่งการได้รับอันดับที่ดีเช่นนี้ ก็สอดคล้องกับการปรับดีขึ้นมาก ของอันดับ Ease of doing business ที่ธนาคารโลกได้ประกาศออกมาเมื่อช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา ดีขึ้นถึง 20 อันดับ โดยรัฐบาลยังมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องในอีกหลายๆ ด้าน เพื่อช่วยเพิ่มการอำนวยความสะดวกของภาคธุรกิจ

และตอนนี้ก็เร่งรัดภาคเอกชนด้วยในการบริการให้กับประชาชน ในเรื่องเอกสารต่างๆ ต้องลดให้ได้โดยเร็ว ทุกส่วนราชการต้องปฏิบัติ ในการจะลดการใช้เอกสาร ตลอดจนผมจะขอประเมินดูผลงานทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง

เราก็หวังว่า สิ่งที่เรากล่าวมาทั้งหมดนั้น จะสามารถดึงดูดธุรกิจจากประเทศต่างๆ ให้เข้ามาลงทุน เกิดจ้างงานในพื้นที่ ได้อย่างต่อเนื่อง ในทุกกิจกรรม เพียงแต่พี่น้องประชาชนควรแสวงหาโอกาส ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจการเหล่านั้น ในท้องถิ่นของตนให้ได้ ก็จะได้รับประโยชน์อย่างถ้วนหน้า ค่อยๆ เพิ่มไปๆ การบริหารจัดการที่ไม่ดี หรือหวังแต่กำไรแต่เพียงอย่างเดียว มันก็ไปไม่รอด ระยะยาวไปไม่รอด ต้องค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ เพิ่ม จนทุกคนยอมรับได้ เราก็ต้องการจะเพิ่มรายได้ให้ท้องถิ่นให้มากที่สุด เป็นรายได้ของท้องถิ่นด้วย รัฐบาลก็ได้จากภาษีมา

ในเรื่องของความน่าลงทุนที่สุดนั้น ประเทศไทยของเราเป็นอันดับที่ 8 ในมุมของความมีพลวัตร มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ มีระบบภาษีที่เอื้อต่อการลงทุน มีความสามารถของผู้ประกอบการในการสร้างนวัตกรรม รวมถึงมีแรงงานฝีมือและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมีความพร้อม รัฐบาลนี้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมาก็ได้สร้างบรรยากาศทางการเมืองที่มีเสถียรภาพ เร่งสร้างความปรองดอง ที่สำคัญก็คือยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ชัดเจน เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนมักพิจารณา เพื่อให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรือยกให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิต มีการใช้วัตถุดิบ หรือแรงงานในประเทศ ย่อมจะเป็นการช่วยสร้างรายได้เพิ่มเติม และยกระดับความกินดีอยู่ดีให้กับพี่น้องประชาชนในระยะต่อๆ ไปด้วย

อีกด้านที่สะท้อนศักยภาพของประเทศไทยในการที่จะเพิ่มคุณภาพของบุคลากรในด้านแรงงานที่มีฝีมือ และผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ก็คือ การที่เราได้เป็นอันดับที่ 5 ของประเทศที่ดีที่สุดในการศึกษาต่อต่างประเทศ จากมุมมองที่ไทยมีบรรยากาศที่ให้ความสนุกสนาน มีชีวิตชีวา เหมาะกับผู้ที่ต้องการเข้าศึกษาต่อ และใช้ชีวิตในระดับมหาวิทยาลัย รวมทั้งมีการศึกษาที่มีคุณภาพ มีวัฒนธรรม การใช้ชีวิตที่เข้าถึงได้ง่าย และมีสถานที่น่าสนใจทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนว่าเราจะสามารถดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในภูมิภาค เข้ามาร่วมกันส่งเสริมการขยายตัวของอุตสาหกรรม และการผลิตต่างๆ ของประเทศ และภูมิภาคได้ อีกทั้งก็จะเป็นการสร้างเครือข่ายธุรกิจ เชื่อมโยงกับกลุ่มที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนภาคเอกชนของประเทศต่าง ๆ ในอนาคตไว้ได้ด้วย

นอกเหนือไปจากการท่องเที่ยว การทำธุรกิจ และแนวโน้มในการเติบโตที่ดีแล้ว ประเทศไทยยังได้รับอันดับค่อนข้างดีในเชิงของการใช้ชีวิตด้วย โดยเป็นอันดับที่ 20 ของประเทศที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นอาชีพ โดยเราพิจารณาจากมุมมองของคนรุ่นใหม่ ในเชิงของตลาดแรงงานที่ตื่นตัว เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ความสามารถของผู้ประกอบการ ความเท่าเทียมทางรายได้ นวัตกรรม ความน่าอยู่อาศัย และความก้าวหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ชีวิตหลังเกษียณ ก็อยู่ในอันดับที่ 20 เท่ากัน จากการสำรวจผู้มีอายุเกิน 45 ปี ที่มีการให้คะแนนความสะดวกสบายของชีวิตหลังเกษียณ โดยจะเห็นว่ามีค่าครองชีพที่ไม่แพง มีภาษีที่เอื้อในการใช้ชีวิต ความเป็นมิตร ความน่าอยู่อาศัย สภาพอากาศที่เหมาะสม การให้สิทธิในการถือครองทรัพย์สิน และระบบสาธารณสุขที่ดี

รวมถึงที่น่าสนใจ ได้แก่ การที่ไทยได้อันดับที่ 28 ของประเทศที่มองการณ์ไปข้างหน้า เมื่อพิจารณาจากความสามารถในการปรับตัวต่อความท้าทาย และการขับเคลื่อนธุรกิจของผู้ประกอบการ การมีนวัตกรรม ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี และระบบราชการที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจมากขึ้น

จะเห็นได้ว่าการจัดอันดับที่เราได้รับทั้งหมดนี้ ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เอง แต่ก็เป็นผลจากการที่ภาครัฐ รัฐบาลนี้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาประเทศ ภาคเอกชนต้องเข้มแข็ง รู้จักปรับตัว สร้างโอกาส สร้างมูลค่าเพิ่ม ประกอบกับภาคประชาชนให้ความร่วมมือ ให้การสนับสนุน และสนองตอบนโยบายต่างๆ เป็นอย่างดี

ผมไม่ได้อยากไปแข่งกับใครหรืออยากให้ดีกว่าประเทศอื่นหรอก เราต้องทำยังไงจะเป็นหุ้นส่วนกันได้ หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กันได้ ผมอยากให้เราแข่งกับตัวเองมากกว่า มาทบทวนตัวเอง มาปรับตัวกัน มาพยายามไปร่วมกัน เพื่ออนาคต ในการที่จะรักษาภาพลักษณ์ รักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจ บรรยากาศการลงทุนของประเทศเอาไว้ ร่วมกันปรับตัวให้เข้มแข็งได้จากภายใน พึ่งตนเองได้ ในขณะเดียวกัน ก็จะสามารถเพิ่มศักยภาพของประเทศในการแข่งขัน เพื่อให้มีการลงทุนจากประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในเทคโนโลยีระดับสูง

ทั้งหมดนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการผลิตของประเทศ ให้ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ สู่สังคมสงบสุข เพราะทุกคนมีกินมีใช้ ไม่ใช่เพื่อรัฐบาล ไม่ใช่เพื่อรักษาอันดับเหล่านี้ แต่เพื่อความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชนและลูกหลานของพวกเราในอนาคต

ผมขอร้องว่าขณะนี้เรากำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ก็ขอให้รักษาบรรยากาศ รักษามุมมองของต่างประเทศกับเราให้ดีที่สุด จะเห็นได้ว่าวันนี้เขาให้ความสำคัญกับเรื่องการพัฒนาประเทศ ในเรื่องของการเมือง ในเรื่องของประชาธิปไตยก็เดินไป เป็นเรื่องของโลกใบนี้ ที่วันนี้ให้กำลังใจกับธุรกิจ การดูแลประชาชน สิทธิมนุษยชนต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งรัฐบาลนี้ก็ทำทุกอย่าง แน่นอนมันต้องมีปัญหาอยู่บ้าง

สุดท้ายนี้ อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว การเมืองที่ทุกฝ่าย สังคม ให้ความสนใจ ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ ตามขั้นตอน ช่วยกันลดความสับสน อลหม่าน วุ่นวาย บิดเบือน โจมตี ในสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง ช่วยกันลดลงให้ได้ เพื่อจะเดินหน้าประเทศไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ซึ่งอะไรที่มีคุณภาพ ไม่มีคุณภาพ ก็ย้อนกลับไปดูก่อนปี 57 ที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง เราก็น่าจะรู้แล้วว่าเราต้องทำอะไร ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างไร อะไรดี อะไรไม่ดี เราพูดกันมามากแล้ว รัฐบาลก็ไม่สามารถจะตอบโต้ได้ทุกประเด็น เราพูดบิดเบือนอะไรไม่ได้ เราต้องพูดแต่ข้อเท็จจริง เรื่องการลงโทษ เรื่องการสอบสวน เรื่องการทุจริต รัฐบาลนี้ก็กำลังดำเนินการอยู่ทุกประเด็น ทุกเรื่อง

เรื่องการเตรียมการไปสู่วันหยุดยาวสงกรานต์ ผมขอเตือนให้ทุกคนได้ระมัดระวังตั้งแต่วันนี้ การบาดเจ็บสูญเสียนั้นคงไม่ใช่เฉพาะห้วงสงกรานต์อย่างเดียว ในทุกวาระ ทั้งปี มียอดการสูญเสียจำนวนมาก เผอิญเราไปให้ความสนใจเฉพาะช่วงสงกรานต์ วันหยุดยาว แต่ถ้าเราไปดูทั้งปีมีการบาดเจ็บสูญเสียมาก อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำไป ถ้ามองในช่วงรายไตรมาส

เพราะฉะนั้นสงกรานต์นี้ผมก็ถือว่าการสูญเสียนั้นไปรวมอยู่ในรายไตรมาส เพราะฉะนั้นทุกหน่วยงานก็ต้องไปพิจารณา หามาตรการที่เหมาะสม เราต้องลดการสูญเสีย การบาดเจ็บให้ได้ ทั้งปี ก็ขอให้ทุกหน่วย ทุกฝ่าย ได้ร่วมมือกันทำงานด้วย ขอบคุณเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร ที่ต้องเหน็ดแหนื่อยจากการเตรียมการ หรือการดำเนินงานในช่วงวันหยุดราชการ หรือวันหยุดยาวทุกคน

ขอบคุณครับขอให้ทุกคน ทุกครอบครัว มีความสุข สวัสดีครับ


กำลังโหลดความคิดเห็น