นายกฯ สะกิดสื่อจะให้ตอบคำถามแบบ ปธน.หรือไม่ เมิน “ธนาธร-ปิยบุตร” ตั้งพรรคตรงข้าม คสช. ขอ ปชช.เลือกที่มีธรรมาภิบาล ขอบคุณพรรคที่หนุน ขอดูนโยบายก่อน แจงเชิญพรรคถกเพื่อให้เข้าใจตรงกันถึงระบบงบ ไม่ใช่แค่วันเลือกตั้ง ลั่นไม่ทำงานตามผลโพล
วันนี้ (6 มี.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่โรงแรมดุสิตธานี อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ หรือ ครม.สัญจร ว่าความจริงแล้วผู้นำต่างประเทศ เช่น ประธานาธิบดี เวลาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนจะไม่ให้สื่อตั้งคำถาม แต่จะชี้ให้แต่ละสำนักข่าวได้มีโอกาสถาม ถ้าเสร็จแล้วก็จะเดินออกไปเลย สื่อเราจะเอาแบบนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ก็แค่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ เพราะบางประเทศก็เป็นประธานาธิบดี บางประเทศก็เป็นนายกฯ
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเห็นกรณีที่คนรุ่นใหม่อย่างนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารไทยซัมมิทกรุ๊ป จะตั้งพรรคการเมืองร่วมกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล นักกฎหมายกลุ่มนิติราษฎร์ เพื่อสู้กับกลุ่มการเมืองที่สนับสนุน คสช. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ตั้งพรรคการเมืองก็ขอให้ตั้งไป ตั้งขึ้นมาแล้วก็อยู่ที่ว่าประชาชนจะเลือกหรือไม่ ขอให้ประชาชนพิจารณาในท่าทีและนโยบายว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าหรือพรรคใหม่ ประชาชนจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของประชาชน ส่วนตัวเคยเตือนแล้วว่าท่านจะต้องเลือกตั้งให้ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล
เมื่อถามว่ามีความเห็นอย่างไรที่กลุ่ม กปปส.ซึ่งเคยประกาศสนับสนุนจะไม่ตั้งพรรคการเมืองแล้ว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เคยบอกแล้วว่าไม่ว่าจะกลุ่มใดที่บอกว่าจะสนับสนุนตนก็ต้องขอบคุณเท่านั้นเอง ทำอย่างอื่นไม่ได้ เรื่องนี้ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะรักใครชอบใครก็แล้วแต่ เหมือนกับพวกเราที่รักใครชอบใครก็เชียร์คนนั้น ส่วนจะได้หรือไม่ ยังไม่รู้
“เพราะผมเองยังไม่ได้พิจารณาในเรื่องนี้เลยว่าจะเป็นอย่างไร ไปอย่างไร ใครจะมาขอ ยังไม่เห็นมีใครมาติดต่อผมเลย เห็นแต่พูดกันผ่านสื่อเท่านั้น แล้วถ้าขอมา ผมจะรับหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่าโจมตีผมมากนักเลย ให้เวลาผมทำงานเถอะ ปัญหามีมากมาย ทั้งนี้ พรรคการเมืองจะเสนอผมได้เพียงพรรคเดียวเท่านั้น วันนี้ยังไม่รู้เลย เพราะไปยังไม่ถึงตรงนั้น ยังปลดล็อกไม่ได้เลย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
เมื่อถามว่าถ้าพรรคการเมืองติดต่อมาจะใช้หลักการอะไรพิจารณาเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า อย่าตั้งคำถามด้วยการใช้คำว่าถ้า เพราะวันนี้ยังไม่รู้ ทั้งนี้ ตนจะต้องดูนโยบายของแต่ละคนแต่ละพรรคการเมือง โดยต้องคิดแบบประชาชน และประชาชนเองก็ต้องคิดแบบนี้ โดยต้องดูทั้งนโยบายพรรค คนที่อยู่ในพรรคว่าเป็นอย่างไร มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม รอบรู้แค่ไหน การเป็นรัฐบาลไม่ใช่จะเป็นเพียงแค่ ส.ส.ที่ไปรับฟังเสียงจากชาวบ้านแล้วยื่นขออนุมัติโครงการจากรัฐบาล แต่ทุกคนจะต้องรู้ระบบงบประมาณของประเทศว่าเงินงบประมาณจะมาจากไหน รายรับ-รายจ่ายของประเทศมาจากไหน ไม่ใช่คิดแต่รายจ่ายอย่างเดียว จะต้องหาเงินด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ปล่อยให้คนทำผิดกฎหมาย และได้เงินจากการทำผิดกฎหมายไปมากพอสมควร
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาจะต้องแก้ไขในภาพรวมและในพื้นที่ที่เดือดร้อน จึงต้องฝากไปถึงตัวแทนพรรคการเมืองด้วย เมื่อถึงเวลาก็จะเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมาพูดคุย โดยพูดคุยถึงเรื่องของการจัดทำงบประมาณและอื่นๆ ด้วย เพื่อช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองต่อไป ยืนยันว่าตนไม่ได้ไปอะไรกับใคร แต่เพื่อที่จะได้เข้าใจตรงกันว่าการที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลนั้นต้องเข้าใจถึงระบบงบประมาณ การจัดทำแผนโครงการ ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท เราจะคุยเรื่องนี้ ไม่ใช่เรียกมาคุยเพื่อกำหนดว่าจะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่แล้วกลับบ้าน มันไม่ใช่ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อนว่าต้องทำอย่างไร ขอให้เตรียมการให้ดี และขอร้องสื่อมวลชนให้ช่วยทำความเข้าใจด้วย
เมื่อถามถึงกรณีที่ผลสำรวจความนิยมของโพลต่างๆ พบว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลและ พล.อ.ประยุทธ์ลดลง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็เห็นลงทุกวัน เดี๋ยวลงเดี๋ยวขึ้น ถ้าไปสนใจตรงนี้มากๆ ก็ไม่ต้องทำงานกันแล้ว ทำตามคะแนนโพลก็แล้วกัน แต่มันไม่ใช่ ถ้าโพลคะแนนนิยมตกแสดงว่าเราทำงานได้ผล เพราะมันจะต้องแก้ไขปัญหา เพราะถ้าทำตามใจคนทุกอย่าง โพลก็จะขึ้นทั้งหมด แต่ถามว่าถ้าตามใจวันนี้แล้วปล่อยปละละเลย ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และเรื่องอื่นๆ ให้ โพลก็จะดีขึ้น แต่บ้านเมืองนั้นแย่ลง ยืนยันว่าจะไม่ทำงานด้วยโพล อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณผู้ที่ให้กำลังใจมาโดยตลอด และขอบคุณผู้ที่มองว่าตนด้อยค่า เพราะเปรียบเสมือนกระจกส่องให้ตน โดยไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นอารมณ์ เพราะบางเรื่องนั้นไม่ใช่สาระและข้อเท็จจริง แล้วจะไปสนใจทำไม เมื่อไม่ได้ทำเช่นนั้นก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง
“การทำงานวันนี้ไม่ได้ทำด้วยโพลหรือคะแนนนิยม แต่ทำด้วยข้อเท็จจริง มีหลักการและเหตุผล ปัญหาและอุปสรรคมีมากมายหลายอย่าง ทั้งเรื่องโครงสร้าง คน ข้าราชการ กฎหมาย จึงต้องแก้ไขกันทั้งหมด ตามดูได้เลยว่าผมทำอะไรไปบ้าง เพราะถ้าไปฟังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้ววิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว จากนั้นมาตัดสินมันไม่ดี ไม่ถูกต้อง” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว