ข่าวปนคน คนปนข่าว
**ฉลอง 1 เดือนคดีดังลั่นทุ่งใหญ่ฯ! “ศรีวราห์” จัดแจ่ม ปลดคดีครอบครองงาช้างให้ “เจ้าสัวเปรมชัย” อีกคดี ปูดก่อนพบที่ สภ.ทองผาภูมิ “ทีมเจ้าสัว” ประสานให้เวลาสอบแค่ 2 ชม. อ้างเวลา “เสี่ยอิตาเลียนไทย” เป็นเงินเป็นทอง
ปลดไปอีกข้อหา .. เห็น “บิ๊กปู” พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร.ขยับแต่ละที “พรานเจ้าสัว” เปรมชัย กรรณสูต ผู้ต้องหาล่าสัตว์ในเขตอนุรักษ์ฯ ทุ่งใหญ่นเรศวร ได้เฮทุกดอก .. กรณี “งาช้างคู่งาม” ที่ตรวจยึดได้จากคฤหาสน์ “เสี่ยเปรม” และตรวจว่าไม่ใช่ “งาช้างไทย” ดำเนินคดีฐานไม่ได้ขึ้นทะเบียนได้ โดย “กรมอุทยานฯ” ในฐานะผู้รับจดแจ้งขึ้นทะเบียนงาช้าง ต้องแจ้งความต่อตำรวจ .. แต่เกมพลิกเล็กน้อย เมื่อ “บิ๊กศรี” แจ้งว่า คดีนี้เอาผิด “เปรมชัย” ไม่ได้ ต้องไปดำเนินคดีต่อภรรยาในฐานะผู้ครอบครองแทน .. อันนี้ไม่ว่ากัน แต่ไม่ว่าผัวหรือเมียก็ต้องดำเนินคดีอย่างโปร่งใส อย่ายักคิ้วหลิ่วตากลางทางละกัน .. กลับมาที่รายของ “เจ้าสัวเปรมชัย” นับถึงวันนี้ก็ครบเดือนพอดีที่เป็นข่าวใหญ่ แล้วก็ยังมีคดีติดตัวอยู่ 9 ข้อหา ก็ต้องจับตาว่าที่สุดเมื่อสำนวนเสร็จสมบูรณ์ ทางตำรวจภายใต้การนำของ “บิ๊กปู” จะสั่งฟ้องกี่ข้อหา .. ที่วางตาไม่ได้ก็ “สำนวน” จะ “อ่อน” เหมือนกิริยามารยาทของ “รองฯ ปู” หรือเปล่าด้วย ..
แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่า “ไหว้ใคร ก็ไม่ทำให้สำนวนเปลี่ยนหรอก” ก็กลัวว่าที่ไม่เปลี่ยน เพราะมัน “อ่อน” อยู่แล้วนี่สิ .. บอกแล้วที่มันน่ากลัว ไม่ใช่กิริยามารยาทของ “ท่านรองฯ” หากแต่มันสะท้อนผ่านภาพการพบกับระหว่าง “ผู้รักษากฎหมาย” กับ “ผู้ต้องหา” เมื่อวันก่อน ที่นอกจากจะเกรงอกเกรงใจกันเกินพอดีแล้ว .. ยังแว่วว่า การที่ตำรวจใช้เวลาแค่ 2 ชั่วโมง ในการสอบสวน “กลุ่มผู้ต้องหา” ที่มีคดีความยาวเป็นหางว่าวถึง 9 คดี พร้อมระบุว่า เสร็จเรียบร้อย ไม่มีการเรียกมาสอบอีกแล้ว .. เห็นว่าเป็นความประสงค์ของ “เจ้าสัวเปรมชัย” ที่อ้างง่ายๆ “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” ไม่สามารถปลีกเวลาให้ กับทางตำรวจได้บ่อยๆ ซึ่งทางตำรวจก็กุมต่ำ ได้ครับๆ ลูกเดียว
**เปรตในคราบนักบุญ! วีรกรรม “น้องแบม” เปิดโปง “โกงเงินคนยากไร้” ฝีแตกแล้ว 24 จังหวัด ตั้งกรรมการสอบส่งกลิ่นแต่เริ่ม “บิ๊กโย่ง” มอบ “ผู้ตรวจฯ ซีต่ำกว่า” ร่วมสอบ “2 บิ๊ก พม.” แฉอีก “โกงจัดซื้อผ้าห่ม” กินยาวมาหลายปี งบร่วม 400 ล้าน ราคาตลาดขาย 160 บ.ต่อผืน พม.สั่งซื้อ 240 บ.ต่อผืน อร่อยเหาะ ย้อนดูชื่อ อ้าว!! ตัวละครเดียวกัน
เป็นเรื่องน่ายินดี .. สำหรับ “น้องแบม” ปณิดา ยศปัญญา นิสิต ปี 4 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน ม.มหาสารคาม ผู้เปิดเปิงขบวนการโกงเงินผู้ยากไร้ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ไม่เพียงได้รับคำชื่นชมอย่างกว้างขวางเท่านั้น .. หลังได้ประกาศเกียรติคุณจาก 2-3 หน่วยงานมาแล้ว ล่าสุดได้รับข่าวดีจาก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดี ม.รังสิต ประกาศมอบรางวัลเหรียญทองคนดีศรีสังคมธรรมาธิปไตย ของ ม.รังสิต ยินดีมอบทุนการศึกษาในปีสุดท้าย แก่ “น้องแบม” เพื่อตอบแทนความประพฤติดีงาม .. อีกทั้งยังก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “ฝีแตก” หลังพบการทุจริตที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง จ.ขอนแก่น แล้วก็ยังมีโมเดลโกงเงินคนยากไร้กันบานตะไท ไม่น้อยกว่า 24 จังหวัดเข้าให้แล้ว .. และเป็นเหตุให้ “2 บิ๊กกระทรวงนักบุญ” ต้องปิ๋วออกจากเก้าอี้ ทั้ง พุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์ และ รองปลัด ณรงค์ คงคำ เพื่อเปิดทางให้มีการสอบการทุจริตที่ไร้ยางอายครั้งนี้ .. หากแต่ด้วยวีรกรรมกล้าหาญของ “น้องแบม” กลับนำภัยมาสู่ตัว ทั้งการถูกต่อว่า และทำร้ายร่างกายจากผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ครูอาจารย์” แล้วยังบังคับให้กราบเท้า “คนโกง”..ทั้งยังถูกข่มขู่คุกคามให้หยุดการเคลื่อนไหว สุ่มเสี่ยงกับความปลอดภัยในชีวิตตัวเอง และครอบครัว เข้าทำนอง “คนดีอยู่ยาก” ..อกสั่นขวัญแขวนอยู่นาน กว่าจะไปเข้าหู “ผู้ใหญ่ในรัฐบาล” ก่อนส่งเจ้าหน้าที่มารักษาความปลอดภัย .. มิใช่เอาแต่ชื่นชมคนดี แต่การวัดผลสัมฤทธิ์ของการเปิดโปงครั้งนี้ คือการนำตัวคนผิดมาลงโทษอย่างเด็ดขาด เป็นกรณีศึกษาไม่ให้ใครกล้าเอาเยี่ยงอย่าง ..
ทว่าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ของ “บิ๊กโย่ง” พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พัฒนาสังคมฯ ดูทะแม่งๆ ชอบกล ที่ตั้ง “ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม.” ที่ “ซีน้อยกว่า” ผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 2 คน ร่วมเป็นกรรมการฯ ด้วย .. แถมไม่มีการพูดถึงผลสอบสวนชุดเดิม ที่เจ้ากระทรวงคนเก่า “บิ๊กอู๋” พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ระบุว่าเคยสอบแล้ว “มีมูลความจริง”..จนน่าสงสัยว่า กรรมการสอบชุดเดิมมีตัวตนจริง หรือแค่ “อุปโลกน์” ขึ้นมาเพื่อให้ “คนพูด” พ้นบ่วง .. อีกทั้ง “บิ๊กอู๋” ยังออกลูกชิ่งด้วยว่า มีผู้บริหารระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้อง พูดชัดว่า “เป็นปลัดกระทรวงคนปัจจุบัน”..นั่นก็คือ “พุฒิพัฒน์” ผู้ที่ “บิ๊กอู๋” หาญกล้าหัก “บิ๊กคลองหลอด” แล้วแต่งตั้งเองกับมือ .. จึงไม่แปลก ที่หลายฝ่ายรวมทั้ง “คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)” จะมองว่า “บิ๊กอู๋” มีส่วนรู้เห็นและต้องร่วมรับผิดชอบด้วย .. ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ก็น่าจะตั้งแท่นสอบสวน กรณี “โกงผ้าห่ม” ของกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ในสังกัด “กระทรวงนักบุญ” ผนวกไปด้วยในคราวเดียว .. ก็ด้วยมีข้อมูลว่า กรมพัฒนาสังคมฯ ใช้งบฯกว่า 393 ล้าน ระหว่างปีงบประมาณ 57-59 จัดซื้อผ้าห่มจากวิสาหกิจชุมชนและกลุ่มพัฒนาอาชีพ จำนวน 6 ครั้ง กว่า 1.63 ล้านผืน ในราคาผืนละ 240 บาท .. แต่มีข้อมูลว่า ผ้าห่มประเภทเดียวกันขายอยู่ในท้องตลาด ราคาเพียง 160-170 บาทเท่านั้น .. อีหรอบนี้ มี “เงินทอน-ส่วนต่าง” แน่นอน แต่จะทอนไปอยู่ในกระป๋าใคร นั่นคือปริศนา .. แล้วก็ช่างบังเอิญที่ อธิบดีกรมพัฒนาสังคมฯ ช่วงปี 57-59 ดันชื่อ “พุฒิพัฒน์ เลิศเชาวสิทธิ์”ส่วนรัฐมนตรีว่าการฯ ช่วงนั้นก็ “อดุลย์ แสงสิงแก้ว” นั่นเอง
**หน้ามือเป็นหลังเท้า!! แค่ปีเดียว “โรงงานยาสูบ” รับสภาพ “เศรษฐีตกอับ” บากหน้าขอ ก.คลัง กู้เงินจ่ายเงินเดือน อ้าง “พ.ร.บ.สรรพสามิตใหม่” พ่นพิษ ทำ “บุหรี่ตัวชูโรง” ขายไม่ออก นั่นแค่ปลายเหตุ ต้นเหตุมาจากพฤติกรรมอู้ฟู่เกินเหตุ “เงินเดือนเยอะ-โบนัสเพียบ” จนเคยตัวมากกว่า
มีแต่คนสมน้ำหน้า .. ก็หัวข่าว “โรงงานยาสูบถังแตก ชงคลังขอกู้จ่ายเงินเดือนพนักงาน-เสริมสภาพคล่อง” อ่านเสร็จถึงกับต้องขยี้ตารัวๆ .. ก็ย้อนไปเมื่อเดือนก.พ.ปีที่แล้ว หน่วยงานนี้ยังออกข่าวอย่างอหังการ์ว่า “ยาสูบโว กำไรพุ่งสูงสุดเฉียด 9 พันล้าน แจกโบนัส 7 เดือน” ให้คนตาร้อนกันมาแล้ว .. เวลาแค่ปีเดียว “หน้ามือเป็นหลังเท้า” อีกทั้งไม่ใช่ครั้งแรกที่ “โรงงานยาสูบ” ในยุค ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ เป็นผู้อำนวยการ จะออกมาส่งสัญญาณว่า “ไม่ไหวแล้ว”..ก็เมื่อปลายปีกลาย“สหภาพแรงงานฯ ยาสูบ” ออกมาเคลื่อนไหว ให้กระทรวงการคลัง แก้ไข “พ.ร.บ.สรรพสามิต”ฉบับล่าสุด ที่ส่งผล ให้โรงงานยาสูบยอดขายร่วง ทำให้ขาดทุนเป็นครั้งแรก หลังก่อตั้งมาเกือบ 80 ปี .. จุดเปลี่ยนที่ “หน้ามือเป็นหลังเท้า” ก็หนีไม่พ้น “อัตราภาษีใหม่” ตาม พ.ร.บ.สรรพสามิต ฉบับใหม่ ที่มีผลเมื่อเดือน ก.ย.-ต.ค. 60 นั่นเอง .. ทั้งที่อัตราภาษีใหม่เก็บโหดกว่าเดิม บุหรี่ขึ้นราคาเกือบเท่าตัว แนวโน้มโรงงานยาสูบน่าจะลูบปาก .. กลับต้องเอาเท้าก่ายหน้าผาก ไม่ใช่ว่า “สิงห์อมควัน” น้อยลง แต่ “แผนผิด-ผิดแผน”.. เมื่อ “บุหรี่ยอดฮิต”ชื่อฝรั่ง แปลว่า “สิ่งมหัศจรรย์” ของโรงงานยาสูบไทย จำต้องขึ้นราคาจาก 63 เป็น 90 ตามคำสั่งของ “บอร์ดยาสูบ” ที่ต้องการโกยกำไร หรือสนองนโยบายรัฐ ในการอัปราคา เพื่อลดคนสูบบุหรี่ ไม่ทราบได้ .. ทว่า “บริษัทเมืองนอก” อ่านเกมขาด ใช้ช่องโหว่กม.“สำแดงราคาถูกลง”ทำให้ “บุหรี่นอกขนาดเล็ก”ลดราคา จาก 72 เหลือ 60 บาท รวมทั้ง “บุหรี่นอกเกรดสูง” ตัวหนึ่ง ก็ปรับราคาจาก 98 เหลือ 60 บาท เช่นกัน .. ทำเอา “บุหรี่มหัศจรรย์” ที่เคยเป็น “ตัวชูโรง” ของโรงงานยาสูบไทย ขายไม่ออก คนหันไปซื้อบุหรี่นอก 2 หัวนั้นกันหมด เพราะราคาแค่ 60 บาท .. แล้วจะว่าไป นั่นก็แค่ “ปลายเหตุ” ด้วย “โรงงานยาสูบ” เอง ที่แม้เป็นรัฐวิสาหกิจ ทำกำไรเป็นหน้าเป็นตา ส่งเงินเข้าคลังได้เป็นหมื่นล้านบาทต่อปี .. แต่ที่ผ่านมาก็ติดกับดักตัวเอง คิดว่าเป็นรัฐวิสาหกิจที่อู้ฟู่ เงินถุงเงินถัง วางระเบียบทั้งขั้นเงินเดือนถึง 70 ขั้น มากกว่ารัฐวิสาหกิจอื่น อีกทั้งเงินเดือนสูงสุดตันอยู่ที่ 2.3 แสนบาท .. ไม่เท่านั้น ในแต่ละปียังแจกโบนัสพนักงานสนุกมือ จากจุดเปลี่ยนนิดเดียว ทพเอา “เศรษฐีมือเติบ” ต้องบากหน้ามาขอกู้เงินอย่างที่เห็น
ช.ชฎา