“พรเพชร” ชงปรับแผนเชิงรุกเชิญชวนคนสมัคร กกต. หวั่นคนไม่กล้ามาสมัคร ยันไม่มีการทาบทามใคร มั่นใจได้ชุดใหม่ภายใน 150 วัน
วันนี้ (26 ก.พ.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดเก่าจะประกาศลาออกซึ่งอาจจะทำให้มีปัญหาหรือไม่ว่า ทางกรรมการสรรหาต้องเร่งเวลา และต้องทำตามกฎหมาย เพราะทุกอย่างมีกระบวนการอยู่แล้ว ต้องมีการตั้งกรรมการสรรหา มีการประกาศรับสมัคร ที่ผ่านมาใช้เวลา 7 วันในการประกาศรับสมัคร ซึ่งตนมองว่าไม่พอต้องยาวกว่านี้ ถ้าหากประกาศรับสมัครวันเดียวโดยไม่ตรวจสอบคุณสมบัติก็บกพร่องไปหมด แต่เรื่องนี้กระบวนการกฎหมายบังคับอยู่แล้ว กรรมการสรรหาจะทำผิดไม่ได้ เพราะเราไม่เหมือนห้างร้านบริษัทที่เดินหาและเอาใครมาก็ได้ แต่ กกต.ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะนอกจากจะตรวจสอบคุณสมบัติแล้วต้องตรวจสอบจริยธรรมด้วย แต่กรรมการสรรหาไม่ได้ตรวจสอบ เพราะจะต้องใช้เวลาอีกมาก เมื่อกฎหมายกำหนดให้เป็นหน้าที่ของวุฒิสภา คือ สนช.แล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขาที่จะดำเนินการสอบในเชิงลึกว่าแต่ละคนประวัติเป็นอย่างไร ขยันทำงานหรือไม่ โดยเชิญผู้เกี่ยวข้อง เจ้านาย เพื่อนฝูงมาสอบถาม แต่กรรมการสรรหาไม่รู้ รู้เพียงแค่มีคุณสมบัติครบถ้วน มีวิสัยทัศน์ที่จะทำงานได้
เมื่อถามว่า แสดงว่าการสรรหา กกต.ครั้งหน้า หากไม่มีการตรวจสอบประวัติเชิงลึกโอกาสที่จะเป็นเหมือนเดิมมีหรือไม่ นายพรเพชรกล่าวว่า เขาแบ่งหน้าที่กันแล้ว ถ้ากรรมการสรรหาจะไปทำก็จะซ้ำกันแล้วจะทำทำไม
เมื่อถามย้ำว่า หลังจากที่ สนช.มีมติไม่รับทั้ง 7 ว่าที่ กกต.อาจทำให้ไม่มีใครกล้าที่จะเข้ามาสมัครอีก นายพรเพชรกล่าวว่า ตนพูดโดยสามัญสำนึก และความคิดว่าการสรรหาครั้งนี้ลำบากกว่าครั้งแรก เพราะคนต้องคิดมาก ในเรื่องของคุณสมบัติก็เป็นธรรมดา แต่กรรมการสรรหาก็ต้องมีทางแก้โดยการชี้แจงเชิญชวนบุคคลทั่วไปให้มาสมัคร เพราะเวลาประกาศสรรหาบางคนไม่รู้เรื่อง เนื่องจากให้เวลาจำกัดเพียง 7 วัน ในการมาสมัคร คนที่จะมาสมัครก็บอกว่าเตรียมเอกสารไม่ทัน ดังนั้น ครั้งนี้จะใช้นโยบายเชิงรุกประชาสัมพันธ์ว่าคุณสมบัติเป็นอย่างไรบ้าง ทำหน้าที่อย่างไร ท่านใดที่มีคุณสมบัติก็มาสมัครได้ ซึ่งนโยบายเชิงรุกนี้จะต้องเข้ากรรมการสรรหาก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่ แต่จะไม่มีการทาบทามบุคคลใด
เมื่อถามย้ำว่า การที่บอกว่าการสรรหาครั้งที่สองจะยากกว่าครั้งแรกอาจทำให้คนกลัวที่จะเข้ามาสุดท้ายแล้วต้องไปทาบทามหรือไม่ นายพรเพชรกล่าวว่า ไม่ ตนคิดว่าเมื่อเขาเข้าใจแล้วก็จะมาสมัคร และผู้ที่จะมาสมัครก็ต้องศึกษาว่าที่ สนช.ไม่ผ่าน กกต.ชุดแรกเพราะอะไร เพราะเขาก็ต้องมีเพื่อนฝูงใน สนช. แม้จะเป็นประชุมลับเขาก็แสวงหาข้อมูลได้ว่าเพราะอะไร และเมื่อเขาเข้าใจเขาก็ยินดีมาสมัครได้
นายพรเพชรกล่าวว่า วันนี้จะส่งเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อนัดประชุมกรรการสรรหา แต่ยังไม่ทราบว่าจะมีการประชุมเมื่อไหร่ เพราะประธานศาลฎีกาติดภารกิจในต่างจังหวัด ทั้งนี้ คิดไว้ว่าระยะเวลาในการรับสมัครจะเปิดให้ยาวขึ้นกว่าเดิม การตรวจสอบคุณสมบัติก็กระชับมากขึ้น เพราะตรวจสอบเฉพาะการครบองค์ประกอบตามกฎหมาย ส่วนการตรวจสอบคุณสมบัติทางจริยธรรม และความประพฤติเป็นหน้าที่ของ สนช.ซึ่งเดิมใช้เวลา 60 วัน ครั้งนี้กลับมาใช้ 45 วันก็จะเร่งรัดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่ากระบวนการการสรรหาก็พยายามใช้ 90 วันอย่างเต็มที่ เพราะหากใช้ระยะเวลาสั้น คนที่มาสมัครจะไม่รู้เรื่อง และเขาจะหาเรื่องกรรมการสรรหาด้วยว่าเปิดรับสมัคร 2-3 วันแล้วก็ปิด เอาแต่พวกตัวเอง และการตรวจสอบคุณสมบัติทางหน่วยงานบอกว่าไม่ได้รับแจ้งว่าบุคคลนี้เคยติดคุก เคยล้มละลาย ติดยาเสพติดหรือไม่ เขาตอบมาไม่ทัน กรรมการสรรหาก็พลาดตรงนี้ไป เมื่อเข้าสู่การตรวจสอบคุณสมบัติของ สนช. เขาก็ว่าเอา สรุปแล้วกฎหมายเขากำหนดเวลาไว้ดีแล้ว เราก็พยายามที่จะบริหารเวลาให้สั้นที่สุด เพราะรู้ว่าการสรรหาครั้งนี้ควรจะเร่งรัดให้เร็วขึ้น ซึ่งทางกรรมการสรรหาก็ทราบว่าองค์กรที่จะส่งผู้สมัครมาก็ต้องใช้เวลาในการเลือก ก็ติดขัดในเรื่องเหล่านี้ อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงของ กกต. ชุดเก่าที่จะมีผู้เกษียณอายุราชการก็มีผลต่อการเร่งรัดการสรรหาครั้งนี้ ประเด็นใดที่เร่งได้จะพยายามทำ ประเด็นใดที่เร่งไปแล้วเกิดความเสียหาย โดนกล่าวหา เราไม่ทำ
เมื่อถามว่าที่ระบุว่า กรอบระยะเวลา 90 วัน เป็นเพียงขั้นตอนการสรรหายังไม่รวมการตรวจสอบประวัติ และการลงมติของ สนช.ใช่หรือไม่ นายพรเพชรกล่าวว่า ไม่รวม โดยในชั้นกรรมการสรรหาใช้ระยะเวลา 90 วัน ในชั้น สนช.45 วัน ในชั้นนี้สามารถขยายได้อีก 15 วัน เป็น 60 วันเหมือนครั้งที่ผ่านมา