กรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ยุติการสอบการขัดขวาง 3 นศ.ทำกิจกรรมนั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ส่องแสงหากลโกง หลัง คสช.ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ยอมชี้แจงหลังจากส่งหนังสือสอบถามไปถึง 2 ครั้ง
วันนี้ (2 ก.พ.) นายวัส ติงสมิตร ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) แถลงผลการตรวจสอบกรณีนักศึกษาจำนวน 3 คน ยื่นคำร้องต่อ กสม.เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่หทาร และเจ้าหน้าที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ขัดขวางไม่ให้เดินทางไปยังอุทยานราชภักดิ์ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทำกิจกรรม “นั่งรถไฟไปอุทยานราชภักดิ์ ส่องแสงหากลโกง” ว่าที่ประชุม กสม.เห็นว่าประเด็นเรื่องการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการสกัดกั้นกลุ่มนักศึกษาไม่ให้เดินทาง เป็นการดำเนินการตามกฎหมมายความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อย หรือสวัสดิภาพของประชาชน ที่สามารถทำได้
ส่วนการควบคุมตัวไปยังกองบัญชาการควบคุม กองพลทหารราบที่ 9 จ.นครปฐมนั้น เขากล่าวว่า ไม่ใช่เป็นการจับกุมหรือคุมขังที่จะต้องกระทำโดยอาศัยหมายของศาลหรือเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ ประกอบกับทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไม่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงในกรณีที่ กสม.สอบถามว่า คสช.อาศัยอำนาจใดในการควบคุมตัวนักศึกษาที่เดินทางไปทั้ง 3 คน จึงมีมติให้ยุติเรื่อง
ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้เหตุผลว่า เนื่องจากพยานหลักฐานที่มีไม่เพียงพอต่อการพิจารณาวินิจฉัย แต่เห็นควรให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิไปยังกระทรวงกลาโหม และ คสช. ประกอบด้วย การใช้อำนาจหน้าที่ตามคำสั่ง คสช.ที่ 3/2558 เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ ต้องเป็นไปอย่างเคร่งครัด เฉพาะเจาะจง ไม่ตีความให้นำไปสู่การกระทำใด ที่กระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของบุคคลจนเกินความจำเป็น หรือละเมิดสิทธิ รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้รับทราบเหตุผลความจำเป็นของการใช้อำนาจดังกล่าวอย่างชัดเจน และขอให้ กระทรวงกลาโหมและ คสช.ให้ความร่วมมือต่อกระบวนการตรวจสอบการละเมิดสิทธิของ กสม.ในอนาคตต่อไปด้วย และภายใน 2-3 วันนี้ กสม.จะส่งมติเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงกลาโหมและ คสช.เพื่อรับทราบ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการพิจารณาจากรัฐบาลและ คสช.ด้วยดี
“การจะพิจารณาประเด็นปัญหานี้ให้ได้ข้อยุติ จำเป็นต้องได้รับข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากหน่วยงานของทหารซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจ โดยสำนักงาน กสม.ได้ทำหนังสือสอบถามไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติถึง 2 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการชี้แจงข้อเท็จจริงหรือแจ้งข้อขัดข้อง และแม้จะพิจารณาตรวจสอบไปตามพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่แล้วก็ยังมิอาจได้ข้อยุติที่ชัดเจนว่าการควบคุมตัวผู้ร้องทั้งสามกับพวก ผู้ถูกร้องได้ใช้อำนาจตามกฎหมายใด และไม่อาจพิจารณาได้ว่าผู้ถูกร้องได้กระทำการหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกรณีควบคุมตัวผู้ร้องทั้งสามกับพวกหรือไม่” นายวัสกล่าว
นายวัสยังกล่าวถึงกรณีที่การให้ความร่วมมือขอหน่วยงานต่างๆ ว่าที่ผ่านมาก็ให้ความร่วมมือด้วยดี แต่หากไม่ให้ความร่วมมือในเรื่องการชี้ กสม.ก็สามารถแสวงหาข้อเท็จจริง พยานหลักฐาน ทั้งนี้ตนได้ลงนามในร่างระเบียบ ว่าด้วยการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่ส่งไปประกาศในราชกิจจาฯ ซึ่งเนื้อหากำหนดว่า ให้เปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ชี้แจงข้อเท็จจริง แต่หากไม่ชี้แจงภายในเวลาที่กำหนด กสม.จะฟังข้อเท็จจริงเท่าที่มีอยู่ซึ่งอาจเป็นผลร้ายแก่คู่กรณี บุคคล และองค์กรหน่วยงานนั้นๆ