xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” จี้ “บิ๊กป้อม” แจงนาฬิกาหรู หวั่นลามถึงนายกฯ ย้ำยิ่งยื้อยิ่งฉาว กระทบภาพลักษณ์รัฐบาล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหน.พรรคประชาธิปัตย์(แฟ้มภาพ)
“อภิสิทธิ์” ชี้ กก.องค์กรอิสระไร้มาตรฐาน ไม่อยากลุ้นปมยื่นตีความร่าง ป.ป.ช. ชี้ทุกอย่างอยู่ที่ดุลพินิจ สนช. จี้ “บิ๊กป้อม” แจงนาฬิกาหรู 20 เรือน หากไม่มีอะไรซับซ้อน หวั่นลามถึงนายกฯ กระทบภาพลักษณ์รัฐบาล ระบุไม่เกี่ยงหากมี “ปชต.แบบไทยนิยม” ถ้าจำเป็นต้องปรับใช้ให้เข้ากับสังคมวัฒนธรรม แต่อย่านำวัฒนธรรมหรือสังคมมาเป็นข้ออ้างในการจะยกเว้นไม่ปฏิบัติตามหลักการพื้นฐาน

วันนี้ (15 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อาจจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความคุณสมบัติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่าถึงวันนี้ตนแทบไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไร เพราะการให้ดำรงตำแหน่งอยู่ต่อหรือไม่ของคณะกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ ไม่มีมาตรฐาน และทุกอย่างกลายเป็นดุลพินิจของ สนช.ว่าจะอย่างไร แต่เมื่อมีคนติดใจและหากยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญก็คงจะสร้างความลำบากใจ กระอักกระอ่วนพอสมควร ซึ่งศาลคงต้องคิดให้ตกว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เพราะมีคนในองค์กรมีส่วนได้ส่วนเสียพัวพันไปด้วย

“เรื่องการให้อยู่ต่อหรือไม่อยู่ต่อ ถ้ายึดหลักการมากกว่าตัวบุคคลจะพิจารณาได้ง่าย คนที่เขียนบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญควรตัดสินใจว่าเมื่อกำหนดมาตรฐานใหม่แล้วให้ใช้ทันทีไหม เทียบกับคนมีประสบการณ์จะให้ทำงานต่อไหม ซึ่งน่าจะกำหนดหลักให้ชัดตั้งแต่เขียนบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีนาฬิกาข้อมือของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ซึ่งปัจจุบันปรากฏถึง 20 เรือน ว่าไม่มีอะไรซับซ้อน โดยก่อนอื่นต้องพิสูจน์ว่านาฬิกามีอยู่จริงหรือไม่ ถ้าจริงต้องอธิบายว่าเป็นของใคร และถ้ามั่นใจในคำชี้แจงก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะบอกต่อสาธารชน แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ ตอนนี้เรื่องยืดเยื้อและประชาชนไม่พอใจ พลันจะลามไปถึงนายกรัฐมนตรีด้วย เป็นเรื่องอื้อฉาวที่กระทบต่อภาพลักษณ์ อย่างไรก็ตาม ถ้ายังจำกันได้ในสมัยที่ตนเป็นรัฐบาล เพียงแค่เกิดเรื่องราวขึ้นยังไม่ได้พิสูจน์ว่าจริงหรือไม่ นายวิทยา แก้วภราดัย อดีต รมว.สาธารณสุข หรือกรณีนายวิฑูรย์ นามบุตร อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังขอลาออก เพื่อตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้เกิดปัญหา ที่บอกว่าไม่อยากเป็นภาระของรัฐบาล

ส่วนกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุต้องมีประชาธิปไตยแบบไทยนิยมนั้นนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าประชาธิปไตยไทยนิยมเป็นแบบใด และต้องระมัดระวังเพราะคำดังกล่าวมีความหมายค่อนข้างชัด ความเป็นไทยในประชาธิปไตยแบบไทยๆ อยู่ที่ไหน และมีเรื่องอะไรที่เป็นแบบไทยๆ ตอนนี้บอกได้แบบเดียวว่าไม่เป็นสากลก็เลยเป็นไทย สำหรับตนไม่เคยปฏิเสธว่าการปรับให้เข้าสังคมวัฒนธรรมมีความจำเป็น แต่คงไม่ใช่นำเรื่องวัฒนธรรมหรือสังคมมาเป็นข้ออ้างในการจะยกเว้นไม่ปฏิบัติตามหลักการพื้นฐาน แต่ยังอยากที่จะใช้คำที่ดูเป็นเรื่องดี เป็นสากล

“หลังการเลือกตั้งถ้า ส.ส.เกินกึ่งหนึ่ง คนที่มาจากการเลือกตั้งจะจัดตั้งรัฐบาล ไม่ควรจะมีการใช้อำนาจวุฒิสภาฝืนเจตนา เพราะมันไม่ใช่ประชาธิปไตย หรืออย่าไปใช้คำว่าประชาธิปไตยแบบไทยนิยม ผมต้องถามกลับว่าความเป็นไทยของวุฒิสภามีมากกว่าความเป็นไทยของการเลือกตั้งคนไทยมากน้อยเพียงใด หากอ้างว่าทำตามรัฐธรรมนูญ ก็ขอชี้แจงว่ารัฐธรรมนูญนิยมกับประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เพราะในประเทศที่ไม่เป็นประชาธิปไตยก็มีรัฐธรรมนูญเช่นกัน หากยังจำกันได้ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีคำว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ ผมคิดว่าอย่างน้อยยังมีความตรงไปตรงมา ยอมรับเป็นประชาธิปไตยครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งไม่เป็น แต่ไม่ใช่บอกว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มที่ เพราะมันไม่ได้เป็น” อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น