xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมาภิบาลไทย ก้าวไกลสู่สายตาชาวโลก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวการเมือง


ป้อมพระสุเมรุ

 เผลอแพร่บเดียว ปาเข้าไป 21 เรือนเข้าให้แล้ว สำหรับ “กรุนาฬิกาหรู” ของ “เสี่ยป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ที่รู้จักกันดีในฐานะ “พี่ใหญ่ คสช.”

เมื่อถูกขุดคุ้ยอย่างต่อเนื่องจากสังคมออนไลน์ ที่ต้องให้เครดิตเป็นพิเศษก็ “เพจ CSI LA” ที่เกาะติดขยี้ต่อเนื่องแบบกัดไม่ปล่อย

โดยเรือนที่ 21 ที่ปรากฏอยู่บนข้อมือ “บิ๊กป้อม” เมื่อเดือนตุลาคม 2559 เป็น นาฬิกายี่ห้อ A. Lange and Sohne (เอลังเก้ เเอนด์ ซอนเน่) รุ่น1815 Chronograph Silver Dial ทำจากทองคำ 18K Rose Gold ราคาท้องตลาดอยู่ที่ 1.5 ล้านบาท

เบ็ดเสร็จรวม 21 เรือนที่ถูกเปิดเผยออกมา ราคาประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือตีกลมๆเป็นเงินไทยก็ราว 30 ล้านบาท

สำหรับ 21 เรือนที่ว่า ประกอบไปด้วย ยี่ห้อ Rolex 8 เรือน Patek Philippes 5 เรือน Richard Mille 3 เรือน และ Audemars Piguet 2 เรือน สะท้อน “รสนิยมลุงป้อม” ที่ดูจะนิยมชมชอบนาฬิกาไฮเอนด์อยู่ 4 ยี่ห้อ เป็น “จตุรเทพแบรนด์ดัง” ในดวงใจของ “ป๋าป้อม” นั่นเอง

แล้วถ้าพิเคราะห์ดีๆ ที่ “เสี่ยป้อม” ปลื้มปริ่มสุดๆ หาใช่ Richard Mille ที่เป็น “ตัวต้นเรื่อง” ที่โผล่ขึ้นมาพร้อม “แหวนเพชรเม็ดเป้ง” แยงตาสังคมไทย เมื่อครั้งถ่ายภาพเป็นที่ระลึกก่อนการประชุมครั้งแรกของ “ครม.ประยุทธ์ 5” ต้นเดือนธันวาคม 2560 ที่อาจจะดูเป็นแบรนด์หรูราคาแพง แต่ก็เป็นยี่ห้อใหม่ที่ก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปี
 
ที่สุดของแจ้ ในดวงใจ “เสี่ยป้อม” แล้วต้องเป็นแบรนด์คลาสสิกอย่าง Rolex ซึ่งในลอตแรก 21 เรือนที่ถูกขุดออกมา มีอยู่ถึง 8 เรือน อีกทั้งยังชื่นชอบเป็นพิเศษกับรุ่นอมตะ อย่าง Rolex Daytona ที่ได้ชื่อว่าเป็น King of Rolex Sport เสียด้วย ที่มักหยิบประดับข้อมือออกงานมากกว่ารุ่นอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด

ไม่ว่ามูลค่ารวม 21 เรือนจะถูกหรือแพงลดหลั่นกันไปอย่างไร แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ทุกเรือนมีราคาค่างวดเกิน 2 แสนบาท ที่ด้วยฐานะ “ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” ต้องยื่นในการแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตามที่กฎหมายบังคับ

แต่ในบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ว่าจะในฐานะ รมว.กลาโหม รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือในฐานะ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ในรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่เคยแจ้งต่อ ป.ป.ช.แม้แต่เรือนเดียว อีกทั้งเห็นว่า ในหนังสือที่ยื่นชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายปี 2560 นั้นได้มีการกล่าวถึงเอกชน หรือคนนอกรัฐบาลจำนวน 4 ราย ที่คาดว่าจะเข้าร่อง “ยืมเพื่อนมา” อย่างที่เคยมีข่าวปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ 

ไม่ทราบว่าด้วยความทะนงใน “อิทธิพล - อำนาจ” หรืออย่างไร ทำให้เสียงที่เคยมั่นอกมั่นใจว่า มีข้อมูล ชี้แจงได้ ของ “บิ๊กป้อม” แปรเปลี่ยนไปเป็นความเงียบงัน ไม่ขอตอบคำถามเรื่องแทงใจนี้ไปเสียอย่างนั้น กระทั่งครั้งหนึ่ง “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังต้องออกปากแทนว่า “ลดราวาศอก” กันบ้าง

ส่วน “ท่านป้อม” ก็ประกาศอย่างไม่เกรงใจ ป.ป.ช.ด้วยว่า จะไม่มีการชี้แจงเพิ่มเติมอะไรอีก เพราะได้ชี้แจงไปครบถ้วนแล้ว ทั้งที่วัน ว. เวลา น. ที่ทาง ป.ป.ช.ให้ข่าวว่า ได้รับหนังสือชี้แจงจาก “ท่านป้อม” นั้นลักลั่นกับจังหวะที่ถูกแฉนาฬิกาเรือนหลังๆ ออกมาเป็นระลอก

ซึ่งหาก “ท่านป้อม” ชี้แจงตามวันเวลาที่ วรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช.ระบุไว้จริง ในวันนั้นโลกโซเชียลฯเพิ่งเปิดโปงนาฬิกาหรูถึงประมาณเรือนที่ 12 เท่านั้น มาจนวันนี้ยังมีอีกนับ 10 เรือนที่ตัว “เสี่ยป้อม” ไม่รู้ว่าจะถูกขุดออกมา

นอกเหนือจะไม่ชี้แจงเพิ่มเติมกับ ป.ป.ช.แล้ว ก็พยายามเล่นบท “นิ่งสยบความเคลื่อนไหว” ท่าทีต่างจากตอนต้นที่เกิดเรื่อง หน้ามือเป็นหลังมือ ด้วยวันนั้นคงนึกว่าจะโดนล่อแค่ "แหวนวง-นาฬิกาเรือน" หัวเราะเอิ๊กๆว่า ของเก่าใส่บ่อยๆ มีหลักฐาน ชี้แจงได้

ก่อนโยนหิน "แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน" ออกมาแล้วก็แป้ก 

ขนาดหมายพบปะ “สื่อมวลชนสายทหาร” ในโอกาสปีใหม่ 2561 ที่นัดแนะไว้ล่วงหน้า 15 มกราคม 2561 นี้ ก็ยังถูกเลื่อนยาวไปเป็นช่วงสิ้นเดือนมกราคมแทน ด้วยข้อสังเกตว่า ยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสื่อมวลชนแบบตรงๆ เพราะรู้ดีว่าคงมีแต่คำถามเกี่ยวกับนาฬิกาหรู ที่ยังหาคำตอบดีๆไม่ได้

แล้วเหตุใด “ท่านป้อม” ถึงกล้าประกาศกร้าวว่า จะไม่ให้ความร่วมมือกับองค์กรตรวจสอบที่ทุกรัฐบาลต้องยอมศิโรราบให้เช่นนี้

คำตอบก็คงอยู่ที่ตัวหัวโต๊ะ “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ผู้ยอมรับโดยดุษฎีว่า มีความใกล้ชิดกับบ้านวงษ์สุวรรณ ในฐานะรองเลขาธิการนายกฯ ประจำหน้าห้อง “รองฯประวิตร” หรือในฐานะน้องรักผู้ได้รับความเอ็นดูจาก “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ มาตลอดชีวิตราชการตำรวจ

การแสดงออกของบิ๊กๆในรัฐบาล ช่าง “ย้อนแย้ง” กับวาระแห่งชาติ ในการปราบปรามคอร์รัปชั่น ที่มีมอตโตคุ้นหู “โปร่งใส ตรวจสอบได้” ที่ไม่ยอมชี้แจงแถลงไขให้ “สังคมไทย-สังคมโซเชี่ยลฯ” สิ้นสงสัย เท่ากับเป็นการปล่อยให้ปักใจเชื่อไปเองว่า แก้วแหวนเงินทองของ “ป๋าป้อม” ที่ปรากฏออกมานั้น ได้มาแบบไม่ปกติ

จนเกิดเป็น “เกมล่าขุมทรัพย์เสี่ยป้อม" ที่กำลังสนุกสนานในโลกโซเชียลฯเมืองไทยแล้ว

และด้วยความทะนงใน “อิทธิพล - อำนาจ” เลือกที่จะไม่ทำให้เรื่องราวกระจ่างชัด มันก็เลยลุกลามบานปลายไปแบบฉุดไม่อยู่ มีการตั้งข้อสังเกตว่า นาฬิการาคาแพงหลายเรือนของ “บิ๊กป้อม” เผยโฉมขึ้นมาหลังการอนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำจากประเทศจีน ด้วยงบประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท เมื่อเดือนมกราคม 2560

มีการทำอินโฟกราฟฟิกแสดงให้เห็นว่า ก่อนมกราคม 2560 “ท่านป้อม” สวมใส่ “นาฬิกาเเบบลุงๆ” ราคาไม่กี่แสนบาท แต่บรรดา “นาฬิกาหรู” ราคาเรือนหลายล้าน มาโผล่หลังจากนั้นเป็นต้นมา กลายเป็นอินโฟกราฟฟิกสุดฮิต ที่ถูกแชร์สนั่นโซเชี่ยลฯ อีกเช่นกัน

ซ้ำร้ายยังถูกไปเปรียบเทียบกับ “คุณหนูปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯผู้หนีคดีไปอยู่ประเทศอังกฤษด้วยว่า เมื่อครั้งยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช. “ยิ่งลักษณ์” ได้ยื่นในส่วนของนาฬิกาไว้จำนวน 17 เรือน บวกทรัพย์สินอื่นที่มีมูลค่ามากกว่า 2 แสนบาทอีกหลายสิบรายการ ตรงข้ามกับ “บุรุษผู้แสนดี” อย่าง “ป๋าป้อม” ที่ไม่เคยแจ้งรายละเอียดในรายการดังกล่าวต่อ ป.ป.ช.เลย แต่มีภาพหลักฐานปรากฏว่าสวมใส่นาฬิการาคาแพงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 21 เรือน

ไม่เพียงเท่านั้นยังกลายเป็นประเด็นที่ “สื่อต่างประเทศ” หลายสำนัก ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ นำไปเสนอข่าวครึกโครม ถึงความอู้ฟู่ของ “รองนายกรัฐมนตรีไทย” คล้ายกับเมื่อครั้งสามัคคีกันขยี้ข่าว “ประธานสภาอินโดนีเซีย” ต้องโทษจำคุก คดีพัวพันคอร์รัปชันรับสินบนเป็นนาฬิกา Richard Mille มูลค่า 4.4 ล้านบาทไทย หรือกรณีของ “เจ้าหน้าที่รัฐจีน” ถูกศาลตัดสินจำคุก 14 ปี ข้อหาคอร์รัปชัน เหตุครอบครองนาฬิกาหรู และชอบใส่ออกงานบ่อยๆ

รวมไปถึง “สื่อไทยหัวนอก” อย่าง Bangkok Post ที่ตีพิมพ์ด้วยภาษาอังกฤษ ตั้งคำถามผ่านบทความ ที่แปลเป็นไทยว่า "แค่ความโปร่งใส มันยากตรงไหน?" รวมทั้งตั้งคำถามไปถึงองค์กรปราบโกงอย่าง ป.ป.ช. “แล้ว ป.ป.ช.ไทยมีไว้ทำไม?”

จนกลายเป็นการประจานสิ่งที่ “รัฐบาลทหาร” พยายามโฆษณาคุณงามความดีของตัวเองมาโดยตลอดถึง “ความโปร่งใส-มีธรรมภิบาล” ย้อนแย้งกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ด้วยคำถามว่ามีธรรมาภิบาลประเภทไหนที่ “บุคคลระดับสูงในรัฐบาล” ไม่สามารถชี้แจงที่ไปที่มาของทรัพย์สินราคาแพงที่ตัวเองครอบครองได้

เสมือนหนึ่งเป็นการพาตัวเองมุ่งสู่มุมอับ นำธรรมาภิบาลแบบไทยๆที่ไร้ความโปร่งใส ก้าวไกลสู่สายตาชาวโลก ขยายบปมประณามหยามเหยียดว่า “รัฐบาลรัฐประหาร” ไม่เพียงแต่นิยมใช้ “อำนาจเผด็จการ” แล้วก็ยังมีเรื่องฉาวโฉ่เข้าข่าย “ทุจริตคอร์รัปชั่น”

ไม่แพ้ “รัฐบาลเผด็จการ” ในประเทศอื่นๆ ที่ล้มหายตายจากการทยอยถูกโค่นอำนาจในปัจจุบัน.


กำลังโหลดความคิดเห็น