"ลุงตู่” มอบโอวาทกับเยาวชนที่ได้รับรางวัลดีเด่นปำจ2561 ชื่นชมเด็กไทยมีความสามารถ ชี้การเข้าสู่การเมืองเราต้องทำใหม่ทั้งหมด พร้อมหยอดะะะมุกใหม่ต่อเนื่องขอ"อย่ารังเกียจการเมือง"เพราะเราคือการเมือง ยันกฎหมายมุ่งหวังให้สังคมสงบ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายใคร ย้ำพูดกับเด็กสบายใจ เพราะเด็กพูดไม่เสแสร้ง เป็นการพูดจากใจไม่มีบท
วันนี้ (8 ม.ค. ) เวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มอบโอวาทให้เยาวชนดีเด่นที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติปี 2561 จำนวน 785 คน โดยนายกฯกล่าวตอนหนึ่งว่า การพบกับเยาวชนในวันนี้ทำให้มีความสุขก่อนที่จะถึงวันเด็กในวันเสาร์นี้ เริ่มต้นสัปดาห์ด้วยสิ่งดีๆ ทุกวันมีปัญหาที่ต้องแก้ตลอดเวลา สำหรับรางวัลอันน่าภูมิใจ เกิดขึ้นจากพวกเรา ความขยันมั่นเพียร ใฝ่หาความรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนเคยพูดไว้ว่า ประเทศไทยต้องการการพัฒนา ไม่ใช่การศึกษาอย่างเดียว แต่ต้องเรียนรู้ในกิจกรรมไปด้วย แต่สิ่งสำคัญเราจะดำรงชีวิตอยู่ในโลกโลกาภิวัฒน์ได้อย่างไร ในเมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา รางวัลในวันนี้ถือเป็นเกียรติประวัติที่งดงามให้แก่วงตระกูล ซึ่งสิ่งต่างๆนี้เริ่มตั้งแต่เป็นเยาวชน และวันหน้าเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต ให้ทุกคนภาคภูมใจและเป็นแบบอย่างให้เด็กคนอื่นๆ
นายกฯ กล่าวว่า ในส่วนของรางวัลขอให้กระทรวงศึกษาธิการไปตรวจสอบว่าได้จัดให้เยาวชนครบหรือไม่ เพราะตนอยากให้จัดหาเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ครบทุกกลุ่ม เช่น กลุ่มที่เรียนดีแต่ด้อยโอกาส เราต้องนำพาทุกกลุ่มให้เกิดความเข้มแข็งในวันข้างหน้า สังคมของเรายังมีปัญหาอยู่มาก ซึ่งต้องเริ่มจากการเรียนรู้ตั้งแต่เด็กจนโตไปสู่การทำงานเป็นผู้ใหญ่ มีครอบครัว ซึ่งจะต้องพัฒนาตลอดเวลา นอกจากการเรียนรู้ในห้องเรียนจะต้องเรียนเท่าทันการเปลี่ยนแปลง เราอย่าเปลี่ยนแปลงประเทศของเราช้าหรือเร็วเกินไป จะต้องมีความสมดุลเหมาะสมตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
นายกฯ กล่าวว่า เยาวชนวันนี้ที่ได้รับรางวัลถือว่ามีความโดดเด่น ได้รับรางวัลในระดับนานาชาติ เห็นได้จากบางกลุ่มที่ส่งไปแข่งขันเมื่อเร็วๆนี้ ได้รับรางวัลจากการแกะสลักน้ำแข็ง ซึ่งเป็นเยาวชนมาก่อนและวันนี้ได้รับรางวัลในระดับที่สูงขึ้น ได้รับรางวัลที่จีน 9 ปี ติดต่อกัน เป็นสิ่งที่สร้างชื่อเสียงอย่างมาก แต่ก็จะต้องติดตามเด็กพวกนี้ว่ากลับมาแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป นำมาพัฒนาใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้าทั้งในด้านธุรกิจและการดำรงชีพ ต้องดูถึงชีวิตความก้าวหน้า ให้ดูว่าคนเหล่านี้อยู่ที่ไหนมีความก้าวหน้าในชีวิตเพียงใดหรือแย่ลงกว่าเดิม
“การเข้าสู่การเมืองเราต้องทำใหม่ทั้งหมด เอาคนที่มีศักยภาพเข้ามาเป็นคนรุ่นใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับประชาธิปไตยในโลกยุคศตวรรษที่ 21 เราต้องมีการพัฒนาในทุกๆด้าน อย่าไปรังเกียจเรื่องการเมือง เราคือการเมือง ทุกคนมีส่วนร่วมในการเมืองอยู่แล้ว ในเรื่องของการเลือกตั้ง ผมอยากได้รัฐบาลที่มีความเข้มแข็ง มีธรรมาภิบาล นักการเมืองดีๆก็มีอยู่ แต่เราจำเป็นที่จะต้องสร้างนักการเมืองรุ่นใหม่ รุ่นเก่าก็อายุมากแล้วบ้างแต่ก็มีประสบการณ์ ต้องเข้าใจในประเด็นเหล่านี้”นายกรัฐมนตรี กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งรัฐบาลไทยได้ให้ไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ต้องกำหนดเช่นนี้เพราะการพัฒนาต้องเริ่มตั้งแต่เด็กจนโต การเติบโตของเด็กตั้งแต่เล็กจนจบการศึกษาใช้เวลา 20 ปี ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญในการเรียนรู้ ถ้าเรียนในสิ่งที่ดี ถูกต้อง มีข้อมูลที่ชัดเจน เราก็จะมีทรัพยากรมนุษย์ที่เข้มแข็ง เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศ อาชีพ รายได้ และการพัฒนาในอนาคต เราต้องมีภูมิต้านทานและภูมิคุ้มกัน วันนี้รัฐบาลพยายามส่งเสริมการศึกษาให้กลับไปพัฒนาพื้นที่ของตัวเอง ทั้งระบบการศึกษา เขตการศึกษาทั้งหมดรองรับเยาวชนทั้งหมดไม่ต้องเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ต้องดูว่าเราต้องพัฒนาคนอย่างไรให้เกิดความอบอุ่น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า อยากฝากให้ทำงานในพื้นที่ของตนเอง ฝากกระทรวงศึกษาธิการให้ช่วยดูแลการศึกษาท้องถิ่นให้มีมาตรฐานและมีชื่อเสียง ขณะที่ครอบครัวก็ต้องหาเวลาพาครอบครัวไปเล่นกีฬา เดินเล่น ทำกิจกรรมให้เกิดสังคมที่ปลอดภัยและอบอุ่น เด็กต้องเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่เช่นนั้นเราจะอยู่ในสังคมได้อย่างไร ต้องเรียนรู้ว่าต่างประเทศมีการพัฒนาอย่างไร ไม่เช่นนั้นความขัดแย้งจะสูงไปเรื่อยๆเพราะความแตกต่างยังมีอยู่ ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือความแตกต่างด้านสติปัญญา เราต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม
" เช่นการไหว้จะต้องไหว้ให้สวยงาม ไหว้ผู้ใหญ่ ไหว้ให้สวยงาม ทำอย่างไร ปัจจุบันทำผิดกันหมด ไหว้ผู้ใหญ่ต้องก้มศีรษะแล้วพนมมือ ไม่ใช่ยกมือไหว้เฉย ขอให้กลับไปไหว้พ่อ แม่ ให้ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้บางครั้งก็ลืมกันไป บางคนอาวุโสมากๆ กลับไปยกมือไหว้เด็กเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ผมเห็นจากสื่อและเว็ป บางครั้งมันไม่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ต้องเรียนรู้ สังคมต้องมีส่วนในการเรียนรู้ ไม่ควรสร้างทัศนคติที่ผิดๆ มีระเบียบวินัย อ่อนน้อมถ่อมตน มีความรู้คู่คุณธรรม คุณธรรมคืออะไรควรทำอะไรไม่ดีก็ไม่ควรทำ ซึ่งสิ่งที่ดีต้องเกิดประโยชน์กับตัวเอง ครอบครัว และคนอื่น อะไรที่ไม่ดีคือการสร้างผลกระทบให้กับคนอื่น เราจึงต้องรักษาความเป็นไทย มีเหตุมีผล รักสถาบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยอยู่ได้ทุกวันนี้ ขอให้ทุกคนภูมิใจ ที่เกิดมาเป็นคนไทยประพฤติตนให้เป็นคนดี หลายคนถามว่าคนดีคือคนอะไร คนดีก็คือสิ่งที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้”นายกฯ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้ทุกคนเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและใช้ความรุนแรงมากกว่าเรา ต้องหาเหตุผล ความเป็นมาของประเทศ ใครเป็นผู้รักษาจนปัจจุบันเป็นประชาธิปไตย ซึ่งจะต้องเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในอนาคตอย่างรวดเร็ว คำขวัญที่ตนให้ รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี ต้องรู้คิดทำในสิ่งที่ถูกต้อง รู้เท่าทันเทคโนโลยี เท่าทันโลก ปัจจุบันใช้แต่เทคโนโลยี อีกหน่อยก็คิดไม่เป็น สิบถามครูกูเกิ้ล ครูยูทูปบ้าง จนครูปัจจุบันไม่ได้รับความเชื่อถือ วันนี้ต้องให้ครูปรับในส่วนนี้ ต้องเป็นทั้งครูและนักเรียนไปพร้อมๆกัน รู้จักใช้เทคโนโลยีในการสอน เป็นการแลกเปลี่ยนทั้งสองทาง บางคนตื่นมาก็คว้าโทรศัพท์ก่อน ก็ขอให้ใช้กันพอสมควร เพราะห้ามใครไม่ได้ แต่ต้องรู้ว่าเราจะต้องคิดหรือทำอะไรก่อน อย่างตนเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผบ.ทบ. เป็นทหารมาตั้งแต่เด็กๆ ก็คนละแบบกันเป็นคนละหน้าที่ ตามห้วงระยะเวลา
“อย่างตอนที่ผมเป็นผู้หมวดก็ดูแลปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างไร ในการทำงานมีลูกน้องเพียง 40 กว่าคน เป็นผู้กองก็ร้อยกว่า เป็นผู้พันก็พันกว่าคน เป็นผู้การก็ 4 พันกว่าคน พอเป็นแม่ทัพก็มีลูกน้องเยอะมากขึ้นเป็นหมื่นคน พอเป็นผบ.ทบ.ก็มีลูกน้องสองแสนกว่าคน ความรับผิดชอบมากขึ้นเรื่อยๆเราก็ต้องรู้จักคิด เราเป็นเด็กหน้าที่ของเราคืออะไร เป็นผู้ใหญ่แล้วมีงานทำก็ต้องคิดทั้งหมด อาจจะเริ่มจากครอบครัวทำให้พ่อแม่มีความสุข หน้าที่ลูกคือเรียนหนังสือให้ดีให้ผ่าน โตขึ้นมีงานทำสังคมยอมรับ ส่วนเรื่องอื่นคือส่วนประกอบ จากครอบครัวไปเป็นประเทศว่าเราจะมีส่วนร่วมการพัฒนาประเทศอย่างไร ไปสู่กระบวนการในการเป็นประชาธิปไตย แต่ทุกอย่างไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ต้องสำคัญไปพร้อมๆกัน เพราะเราคือคนไทยอยู่ในดินแดนประเทศไทย ขอให้ทุกคนภูมิใจ” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การสื่อสารวันนี้ไร้ขีดจำกัด ไม่กี่วินาทีเรื่องดีๆพูดไปเดี๋ยวก็ลืม เรื่องไม่ดีเดี๋ยวเดียวก็ไปต่อ และการวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ เป็นคนละเรื่อง วันนี้โลกของเราอยู่ด้วยกฎหมาย หลายเรื่องเป็นเรื่องกฎหมาย ความเป็นธรรมกับความเท่าเทียมเป็นคนละอันกัน ความเท่าเทียมคือ ความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาส ความเป็นธรรมคือโอกาสที่จะรับการดูแลขอให้เข้าใจ ไม่อยากให้ไปฟังการพูดต่างๆที่บางครั้งทำให้เกิดปัญหา ซึ่งตนคาดหวังให้คนไทยรู้กฎหมาย ไม่รู้ไม่ได้ เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้แบบนั้น กฎหมายมีทั้งรัฐธรรมนูญ กฎหมายลูก กฎกระทรวง ซึ่งตนได้มอบให้กระทรวงยุติธรรมทำเป็นอินโฟกราฟฟิก ซึ่งทุกสถาบันการศึกษาต้องทำในรูปแบบนี้และนำไปสอนด้วย ในรายละเอียดจะมีการชี้แจงในทุกๆขั้นตอน ถ้าไม่เรียนรู้สังคมก็จะเกิดความปั่นป่วน วุ่นวาย นอกจากนี้ที่ให้แยกออกมาคือรัฐธรรมนูญที่เขียนเรื่องของประชาธิปไตยและการชุมนุมต่างๆ ซึ่งมีกฎหมายลูกอีกหลายฉบับที่เกี่ยวข้อง ถ้าทำอันใหญ่อย่างเดียวทำได้หมด สิทธิเสรีภาพไม่มีใครห้าม แต่ข้างล่างมีกฎหมายซ้อนอยู่ ตนจะทำสำเนาให้กระทรวงศึกษาไปจัดทำเป็นวิชาเสริม ถ้าเราไม่รู้กฎหมายจะวุ่นไปหมดแล้วจะเกิดปัญหาว่ามีการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะถ้าทุกอย่างเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็จบ ส่วนเรื่องการสู้คดีก็ว่าไปตามกฎหมาย สิ่งเหล่านี้ทุกคนต้องเข้าใจต้องเรียนรู้ตั้งแต่เด็กและเยาวชน
“กฎหมายมุ่งหวังให้สังคมสงบ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำลายใคร ใครก็ตามที่ไปพูดเรื่องเหล่านี้ขอให้สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องด้วย นายกฯ ไม่ได้คิดใช้กฎหมายทำร้ายใคร ถ้าทำอย่างนั้นนายกฯคงไม่ต้องบอกใครว่าทำกฎหมายอะไร ก็ใช้อย่างเดียว ทุกคนก็ต้องระมัดระวังในการปฏิบัติและการแสดงออกมา เพราะมีกฎหมายอยู่ทุกตัว ไม่เช่นนั้นวันข้างหน้าก็เกิดอีกทุกเรื่อง” นายกฯกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังนายกฯมอบโอวาทแก่เด็กและเยาวชนฯ ตัวแทนเด็กและเยาวชนฯได้กล่าวอวยพรให้กับนายกฯ ซึ่งทันทีที่กล่าวเสร็จ นายกฯได้กล่าวขอบคุณพร้อมระบุว่า “เด็กพูดไม่มีเสแสร้ง เป็นการพูดจากใจ ไม่มีบท แต่วันนี้บางคนพูดกันจนวุ่นวาย สับสนอลหม่านไปหมด” จากนั้นนายกฯได้เดินพูดคุยกับเด็กๆ พร้อมสอนถึงการแสดงความเคารพด้วยการไหว้ และการยืน การหันซ้าย- หันขวา การนั่ง ให้มีบุคลิกภาพที่ดี ก่อนถ่ายภาพร่วมกับเด็กและเยาวชนดีเด่นที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศ ที่บริเวณห้องโถงกลางตึกสันติไมตรี
จากนั้นนายกฯได้เดินเยี่ยมชมของขวัญที่เด็กๆนำมามอบให้ อาทิ ภาพวาดลายเส้นการ์ตูนรูปพล.อ.ประยุทธ์ที่มีเด็กๆอยู่รายล้อม ของ ด.ญ.ชญานนท์ ศักดิ์ศิริวุฒโฒ นักเรียนจากโรงเรียนดอนบอสโกวิทยา ภาพวาดสีพล.อ.ประยุทธ์กำลังขับรถจักรยานยนต์อยู่ท่ามกลางประชาชนคนไทย ของ ด.ญ.พรวิภา ปริบูรณะ โรงเรียนเมืองสมุทรสงคราม ภาพวาดรูปใบหน้าพล.อ.ประยุทธ์ในวิชาศิลปะ จาก น.ส.ณัฐชา ศรีธวัชพงศ์ นักเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ชั้น ม.6 ขณะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ยังมีการแต่งกลอนพร้อมใส่กรอบรูป จากนายธนวุธ ประสานะโม นักเรียนชั้นม.6 โรงเรียนห้วยต้อนพิทยาคม ที่แต่งให้นายกรัฐมนตรี ว่า
“ประ จักษ์เห็นเด่นด้วย คุณธรรม พ่อเฮย
ยุทธ์ เยี่ยมยอดการนำ เก่งกล้า
จันทร์ ดูสง่าล้ำ สุดเท่ จริงนา
โอชา แกร่งทหารกล้า แซ่ซ้องสรรเสริญ” เป็นต้น