“รสนา” ย้อนดูราคาน้ำมันในอดีตไทยถูกกว่ามาเลเซียมาตลอด แต่หลังจากแปรรูป ปตท. ราคาน้ำมันสวนทางไทยแพงกว่ามาเลเซียลิบลับ ชี้ทางนายกฯ คืนความสุขให้ประชาชน สนองคำ “ป๋าเปรม” เคยประกาศต้องทำราคาน้ำมันให้ถูกที่สุด เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน เชื่อถ้าทำได้เมื่อไหร่ กองหนุนจะกลับมาเอง
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่าในโอกาสส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่นี้ได้มาเที่ยวกับครอบครัวโดยมาเป็นแขกรับเชิญของคุณอนันต์ เดชอนันตชาติ เจ้าของโยโกะ ริเวอร์แคว รีสอร์ท ที่กาญจนบุรี
ที่รีสอร์ตแห่งนี้มีของเก่าเมื่อวันวานเป็นของตกแต่งมากมาย ที่น่าสนใจคือ หัวจ่ายน้ำมันของปั๊มสามทหาร และใบประกาศราคาน้ำมันเบนซิน จากสถานีบริการสามทหาร อำเภอฝาง เมื่อปี 2502 ราคาลิตรละ 1.78บาท
“การต่อสู้เรื่องราคาน้ำมันให้เป็นไทจากบริษัทฝรั่งที่ผูกขาดขายน้ำมันสำเร็จรูปให้ประเทศไทยและภูมิภาคแถบนี้ เป็นการต่อสู้ที่ยาวนานหลายรัฐบาล ตั้งแต่ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
จากที่ต้องซื้อน้ำมันสำเร็จรูปจากฝรั่งในราคาแพง ทำให้รัฐบาลไทยเริ่มคิดถึงการกลั่นน้ำมันใช้เอง โดยเชื่อว่าการซื้อน้ำมันดิบมากลั่นเองจะได้ราคาถูกกว่าซื้อน้ำมันสำเร็จรูป และการกลั่นทำให้ได้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดอีกด้วย จึงมีการตั้งโรงกลั่นบางจากมากลั่นน้ำมันใช้เองในประเทศ ตั้งแต่ประมาณปี 2502
ราคาน้ำมันของไทยตามนโยบายสามทหารจึงมีราคาถูกกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคแถบนี้ ที่ยังกลั่นน้ำมันเองไม่ได้ ต้องซื้อน้ำมันสำเร็จรูปจากบริษัทฝรั่งที่ผูกขาดการค้าน้ำมันตั้งแต่ยุคอาณานิคม
มีอดีตนายด่านที่เบตงท่านหนึ่งเขียนมาเล่าให้ดิฉันฟังว่า เมื่อปี 2520 ราคาน้ำมันเบนซินในไทยลิตรละ 5 บาท ในขณะที่มาเลเซียที่นำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป ราคาเบนซินในขณะนั้นลิตรละ 10 บาท จึงมีปรากฏการณ์ที่คนมาเลเซียจะเดินทางมาเที่ยวไทยและมาเติมน้ำมันพร้อมนำแกลลอนหลายใบมาเติมน้ำมันกลับไปใช้ที่มาเลเซีย
ปี 2520 ประเทศไทยยังไม่พบปิโตรเลียมเชิงพาณิชย์ นอกจากแหล่งน้ำมันที่ฝาง ซึ่งพบมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ แม้เรานำเข้าน้ำมันมากลั่นใช้เอง ราคาก็ยังถูกกว่ามาเลเซีย ซึ่งเพิ่งเป็นอิสระจากเจ้าอาณานิคม และเพิ่งจะเปลี่ยนการให้สิทธิเอกชนต่างชาติมาสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศจากระบบสัมปทานมาเป็นระบบแบ่งปันผลผลิตเมื่อปี 2517 นี่เอง
ในยุคของรัฐบาลป๋าเปรม ท่านประกาศว่าน้ำมันเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่ต้องทำให้ราคาถูกที่สุด ด้วยประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน นี่คือวัตุประสงค์ของการมีรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของไทย และในสมัยของป๋าที่ท่านประกาศว่าไทยจะโชติช่วงชัชวาลแล้ว เพราะพบแหล่งก๊าซเชิงพาณิชย์ แต่จนบัดนี้ความโชติช่วงชัชวาลกลับตกเป็นสมบัติของเอกชน ไม่ใช่สมบัติของประเทศและประชาชน
ในปี 2544 ก่อนการแปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล ระหว่างไทยกับมาเลเซีย มีราคาใกล้เคียงกันคือประมาณลิตรละ 15 บาท ซึ่งราคาไม่ต่างกันขนาด 100% เหมือนเมื่อปี 2520 แสดงว่ามาเลเซียพัฒนาไล่ตามไทยมาติดๆ ในแง่ของประสิทธิภาพด้านราคาพลังงาน
หลังจากแปรรูปกิจการพลังงานเป็นเอกชน นโยบายของกิจการพลังงานก็ไม่ใช่กิจการสาธารณูปโภค ที่มีไว้เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนอีกต่อไป แต่กลายเป็นกิจการค้ากำไรอย่างเต็มที่เพื่อผู้ถือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ราคาน้ำมันในปัจจุบันระหว่างไทยกับมาเลเซียต่างกันอย่างลิบลับ ราคาเบนซิน 95 ของมาเลเซีย เมื่อวันที่ 18/12/60 อยู่ที่ลิตรละ 17.80 บาท ไทยลิตรละ 34.96, ดีเซลมาเลเซีย ลิตรละ 17.40 บาท ไทย ลิตรละ 26.39 บาท
มักมีคำกล่าวอ้างว่า น้ำมันมาเลเซียถูกกว่าเพราะมาเลเซียมีปิโตรเลียมมากกว่าไทย และไทยเป็นผู้นำเข้านำมัน เพราะเราใช้น้ำมันมากกว่าที่เรามี ซึ่งน่าจะไม่ใช่เหตุผลที่ควรเอามากล่าวอ้าง เพราะในช่วงเวลาที่ไทยไม่พบปิโตรเลียม แต่นำเข้าน้ำมันดิบมากลั่นเอง ราคาน้ำมันสำเร็จรูปก็ยังถูกกว่ามาเลเซีย ปัจจุบันไทยพบทั้งน้ำมันดิบและก๊าซ มีโรงกลั่นที่กลั่นจนล้นเกิน สามารถส่งออกทั้งน้ำมันสำเร็จรูป และน้ำมันดิบ แต่คนไทยก็ยังใช้น้ำมันแพงกว่ามาเลเซีย จนสถานการณ์กลับกัน กลายเป็นคนไทยต้องเอาแกลลอนไปเติมน้ำมันมาเลเซียมาใช้ในประเทศไทย
ท่านนายกฯ ลุงตู่เมื่อได้ฟังอนุศาสน์ของป๋าเปรมในวันเข้าอวยพรท่านในโอกาสขึ้นปีใหม่แล้ว ควรนำมาทบทวน ไขปริศนาว่า “การดำรงความมุ่งหมายคืนความสุขให้ประชาชน” คืออะไร
เป้าหมายประการหนึ่งในการคืนความสุขให้ประชาชนในยุคของป๋า คือ “การทำให้ราคาน้ำมันมีราคาถูกที่สุดด้วยประสิทธิภาพ เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชน”
ท่านนายกฯ ลุงตู่ลองทำเรื่องนี้อย่างที่ป๋าเคยทำมาแล้วในยุคของท่าน “ถ้าทำได้เมื่อไหร่ กองหนุนจะกลับมาเอง”