อดีตเลขาฯ “บุญทรง” ไม่รอด ป.ป.ช.เคาะมติฟันร่ำรวยผิดปกติ 896 ล้าน จากการทุจริต “ระบายข้าวจีทูจี” จ่อชง อสส.ฟ้องศาลฯ ยึดทั้งหมดให้ตกเป็นของแผ่นดิน แย้ม 8 คนที่เหลือสอบใกล้เสร็จแล้ว
วันนี้ (30 พ.ย.) เวลา 13.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี นายวรวิทย์ สุขบุญ รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาการแทนเลขาธิการธิคณะกรรมการ ป.ป.ช. แถลงมติที่ประชุมสืบเนื่องจากกรณีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กับพวก ทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบจีทูจี โดยมี พ.ต.นพ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ผู้ถูกกล่าวหาที่ 3 มีมูลความผิดทางอาญา ได้กระทำความผิดร่วมกับนายบุญทรง ด้วยการแบ่งหน้าที่กันทำงานช่และเอื้อประโยชน์ให้เอกชนซึ่งไม่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เข้ามาทำสัญญาซื้อขาย แต่มีสิทธิ์เข้ามาทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ โดยไม่ต้องแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น แล้วนำข้าวที่ซื้อได้ในราคาต่ำกว่าราคาขายในประเทศไปขายต่อให้บริษัท สยาม อินดิก้า จำกัด นำไปขายต่ออีกทอดหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมการค้าต่างประเทศและประเทศชาติอย่างร้ายแรง
นายวรวิทย์กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.ได้พิจารณาและมีมติว่ากรณีดังกล่าวมีเหตุอันควรสงสัยว่า พ.ต.วีระวุฒิเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่ำรวยผิดปกติตามมาตรา 66 มาตรา 75 วรรคสอง และมาตรา 77 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม 2550 จึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยมี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการร่ำรวยผิดปกติของ พ.ต.วีรวุฒิ น.ส.ชุฏิมา วัชรพุกกะ อดีตคู่สมรส บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ บุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นการชั่วคราว ตามมาตรา 78 แห่ง พ.ร.ป.ป.ป.ช.ปี 2542 รวมมูลค่า 99,203,133.17 บาท
“ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2560 ได้พิจารณารายงานการผลการไต่สวนแล้วเห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถชี้แจงแหล่งที่มาของทรัพย์สินได้ จึงมีมติว่า พ.ต.วีรวุฒิ ผู้ถูกกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 896,554,760.28 บาท ประกอบด้วย 1. เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในชื่อ พ.ต.วีรวุฒิ วัจนะพุกกะ และอดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติและผู้ใกล้ชิด จำนวน 53 บัญชี เป็นเงิน 567,715,461.37 บาท 2. เงินลงทุนในชื่อ พ.ต.วีรวุฒิ วัจนะพุกกะ และอดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติและผู้ใกล้ชิด จำนวน 6 แห่ง มูลค่า 260,142,651 บาท 3. ที่ดินในชื่ออดีตคู่สมรส บุตร เครือญาติ จำนวน 12 แปลง ในท้องที่กรุงเทพมหานคร มูลค่า 57,066,828 บาท 4. ห้องชุดในชื่อเครือญาติ ได้แก่ ห้องชุด ชื่อศาลาแดง โคโลเนต ตำบลสีลม อำเภอบางรัก กรุงเทพมหานครจำนวน 1 ห้อง มูลค่า 6,200,000 บาท 5. รถยนต์จำนวน 4 คัน ในชื่อของเครือญาติและผู้ใดล้ชิด มูลค่า 6,309,000 บาท” นายวรวิทย์กล่าว
นายวรวิทย์กล่าวอีกว่า จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ยึดทรัพย์ของ พ.ต.วีรวุฒิ มูลค่า 896,554,760.28 บาท ที่ได้มาโดยร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน รวมทั้งขอให้ อสส.ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อจัดให้มีวิธีคุ้มครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254 วรรค 1 และหากไม่สามารถบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมด หรือได้แต่บางส่วนแล้ว ขอให้บังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในอายุความ 10 ปี ตามนัยมาตรา 83 พ.ร.บ.ป.ป.ช.
อย่างไรก็ตาม นายวรวิทย์ยังเปิดเผยอีกว่า ผู้เกี่ยวข้องที่เหลือ คณะอนุกรรมการไต่สวน ป.ป.ช.อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินเชิงลึก ประกอบด้วยบุคคลที่เป็นนักการเมือง 5 ราย และเจ้าหน้าที่รัฐอีก 3 ราย โดยบางคดีมีความคืบหน้าไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ และบางคดีคืบหน้าไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์ หากดำเนินการแล้วเสร็จจะแถลงต่อสื่อมวลชนต่อไป