xs
xsm
sm
md
lg

“ประยุทธ์” รณรงค์ยุติความรุนแรงในครอบครัว แนะอย่าใช้อารมณ์พูดจากันดีๆ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


นายกฯ ลั่นลุยปราบทุจริต - ธุรกิจผิดกฎหมาย แต่อาจกระทบผู้มีรายได้น้อย เพราะเงินส่วนนี้ไม่ถูกนำมาหมุนเวียนในระบบ ย้ำ เลือกตั้งตามโรดแมปเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ชี้ อยากเห็นคนไทยเตรียมตัวให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง - ความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พร้อมรณรงค์ยุติความรุนแรงในครอบครัว แนะอย่าใช้อารมณ์ พูดจากันดีๆ

วันนี้ (24 พ.ย.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ช่วงหนึ่ง ว่า ระยะต่อไปรัฐบาลจะคงมุ่งมั่นจะเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการเร่งลงทุนในโครงการต่างๆ ให้ได้อย่างเต็มที่ ก็ขอความร่วมมือจากภาคประชาชนด้วย โดยเฉพาะความร่วมมือทางด้านที่ดิน การจัดพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้การลงทุนเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ รัฐบาลก็ดูแลอย่างเต็มที่ เรามีงบประมาณการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ทั้งของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ อีกทั้งมีมาตรการช่วยเหลือด้านต่างๆ ที่จะดำเนินการต่อเนื่อง ในปีหน้า ซึ่งมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการปฏิรูปประเทศ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ก็จะเป็น “เข็มทิศนำทาง” ในการขับเคลื่อนประเทศที่ชัดเจน และมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาเรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน การกระทำผิดกฎหมายไปด้วย

นายกฯ กล่าวอีกว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เม็ดเงินที่ไม่สุจริต ก็จะไม่ออกมาวนเวียนอยู่ในพื้นที่ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาบ้าง เพราะคนมีรายได้น้อยส่วนใหญ่ก็มีอาชีพรับจ้าง เพราะฉะนั้นเงินเหล่านี้ก็อาจจะต้องหายไปส่วนหนึ่ง จะทำยังไง เราก็ควรจะต้องทำให้ถูกต้องซะ เปิดโอกาสให้คนอื่นเขาเข้ามามากขึ้น การทำธุรกิจผิดกฎหมายลดลง ทางรัฐบาลพยายามมุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ก็ขอความร่วมมือจากภาคประชาชน พี่น้องทั้งหลายด้วย ในส่วนของการเดินหน้าทางการเมืองสู่การเลือกตั้งตาม Roadmap ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชน และประชาคมโลกด้วย

ดังนั้น ทุกคนก็ควรจะหารือกัน ว่า วันหน้าเราจะอยู่กันอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมือง ภาคธุรกิจ ประชาชน รัฐบาล คสช. ต้องมีหนทางร่วมมือกัน ไม่ใช่ติติงกันไปมา รัฐบาลไม่ได้มีนโยบายในการที่จะไปต่อสู่ ปิดกั้น กีดขวางท่านเลย ก็อย่ามาบิดเบือนซึ่งกันและกัน ต่อไปก็จะทำทุกอย่างสามารถจะพูดคุย เจรจา หาหนทางออกกันได้ ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ อยากจะขอความร่วมมือให้ทุกฝ่าย ได้ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หันหน้าพูดคุยหารือกัน รับฟังกันอย่างมีเหตุมีผล และด้วยหลักการ ด้วยเหตุผล ด้วยปัจจัยภายใน ภายนอกที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่คิดเอาเอง หรือมาเปรียบเทียบกับในช่วงบางช่วง ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์เช่นในปัจจุบัน ซึ่งมีหลายอย่าเข้ามาประกอบด้วย ก็ขอให้ช่วยกันเสนอแนะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เราจะต้องยึดมั่นจุดมุ่งหมายเดียวกัน ก็คือ การเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน ในระยะยาว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า สิ่งที่อยากเห็นมากที่สุดจากพี่น้องประชาชนคือ การเตรียมตัวเองให้พร้อม ในการการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย โลกทุกวันนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเรื่องเทคโนโลยี ที่เราจะต้องก้าวให้ทัน “รู้เท่าทัน” ก้าวไปกับเทคโนโลยี และโลกยุคดิจิตอล เพื่อจะแสวงหาโอกาส สร้างนวัตกรรม มุ่งไปสู่การผลิตที่มีมูลค่ามากขึ้น ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

นายกฯ กล่าวว่า เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนแห่ง “การรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว” ซึ่งเราทุกคนรู้ดีว่า “ครอบครัว หรือบ้าน” เป็นสถาบันที่เล็กที่สุดของสังคม แต่มีความสำคัญที่สุด อยากรับฟังซึ่งกันและกัน อย่าใช้อารมณ์ ส่วนคำพูดที่ไม่ดี ที่ทำลายจิตใจ โดยเฉพาะผู้ใหญ่กับเด็ก บางครั้งก็ต้องฟังเด็กบ้าง ตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราอาจจะเป็นคนที่เกิดในรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ลูกหลานก็โตในยุคที่มีดิจิตอล มีเทคโนโลยีที่มันเจริญก้าวหน้ามากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้บางครั้งเราต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ลูกก็ต้องเข้าใจพ่อแม่นะ ซึ่งตนก็ไม่อยากนำมากล่าว ณ ที่นี้ (ตัวอย่างตามหน้าจอ) ก็ควรลด - ละ - เลิกเสีย เพราะนอกจากจะเป็น จุดเริ่มต้นของ “การใช้อารมณ์ เหนือเหตุผล” แล้ว ยังนำไปสู่การใช้กำลังกับคนในบ้าน ลุกลามไปสู่การใช้ความรุนแรงในสังคม - ตามท้องถนน ปัญหาอีกเรื่องนึงก็คือการใช้กำลัง ในเรื่องของการคุกคามทางเพศเหล่านี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ ถึงแม้จะเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรทั้งประเทศ แต่มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าทุกคนช่วยกันดูแล ถ้าทุกคนมีสติ มีจิตสำนึก และการตัดสินปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรง ประทุษร้ายกัน เช่นบนท้องถนน ขับรถอะไรต่างๆ เหล่านี้ก็มีให้เห็นอยู่เสมอ ก็อย่าให้เกิดขึ้นอีก

คำต่อคำ : ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 24 พฤศจิกายน 2560


สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พุทธศักราช 2559 ซึ่งยังความเศร้าโศกอาลัย ให้แก่พสกนิกรชาวไทยอย่างใหญ่หลวง โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทาน พระราชานุญาต ให้รัฐบาล และประชาชนชาวไทยจัดงานพระราชพิธี ถวายพระเพลิง พระบรมศพฯเพื่อถวายพระเกียรติยศสูงสุดตามขัตติยะโบราณราชประเพณี ซึ่งบัดนี้ ได้สำเร็จลุล่วง อย่างเรียบร้อย สมบูรณ์ สมพระเกียรติ แล้ว ซึ่งนับเป็นการรวมพลัง ความสามัคคี ทุกภาคส่วน ที่ได้ร่วมกันปฏิบัติงาน อย่างเต็มกำลังความสามารถ ด้วยความสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐและเนื่องในโอกาสดังกล่าว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเลี้ยงอาหาร แก่ผู้ปฏิบัติหน้าที่งานพระราชพิธี ถวายพระเพลิง พระบรมศพฯ เมื่อวันพุธที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดมิได้ อีกทั้งยังจะเป็นขวัญ และกำลังใจอันสำคัญ ให้แก่ผู้ปฏิบัติภารกิจหน้าที่ เพื่อประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติ และประชาชน ตามพระราชปณิธาน สืบไป

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักครับ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน พระราชวโรกาส ให้นายกรัฐมนตรี เฝ้าฯ รับพระราชทานวีดิทัศน์ สืบสาน รักษา ต่อยอด สร้างสุขปวงประชา ซึ่งประกอบด้วย 4 เรื่อง ได้แก่ น้ำคือชีวิตแผ่นดิน พิทักษ์ป่า พัฒนาสินสายน้ำ พืชพรรณปลูกชีวิตมั่นคง และเศรษฐกิจพอเพียงนำทางชีวิตโดยมีพระราชปรารภ สรุปใจความว่า ศาสตร์พระราชา ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระราชทานไว้ มีมากมาย และมีคุณค่าคุณูปการ สำหรับการพัฒนา ประเทศชาติ และสร้างความสุขให้แก่ประชาชน จึงมีพระราชประสงค์ให้ศึกษาและน้อมนำพระราชดำริต่างๆ ไปสู่การปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสม และพอเพียงทันต่อสถานการณ์ทั้งนี้ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลนี้ไม่เพียงน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และศาสตร์พระราชาต่างๆ เป็นกรอบแนวคิดหลัก สำหรับการวางยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี การจัดทำแผนปฏิรูปประเทศ และนำไปสู่การปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น แต่ยังได้นำไปเผยแพร่อย่างมีระบบและเป็นรูปธรรม ในเวทีระหว่างประเทศ

เพื่อเป็นทางเลือกในการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประชาคมโลกต่อไป อีกด้วย โดยหลายประเทศได้นำไปประยุกต์ใช้ ให้เหมาะสมกับบริบทของตนแล้ว ในปัจจุบัน สำหรับในประเทศของเราเอง ตั้งแต่ระดับจังหวัด ลงมาถึงท้องถิ่น ผมเห็นตัวอย่างการน้อมนำศาสตร์พระราชาไปประยุกต์ใช้จนประสบผลสำเร็จโดยเฉพาะเรื่องการระเบิดจากข้างใน และการรวมกลุ่มสร้างพลังในสังคมของตน ตามที่รัฐบาลนี้ เรียกว่าพลังประชารัฐ จึงขอนำมากล่าวคร่าวๆ เพื่อเป็นแนวทาง และเป็นกำลังใจ ให้กับกลุ่มอื่นๆ ได้ฟัง ดังต่อไปนี้

1. ขอนแก่นโมเดล ซึ่งเป็นความร่วมมือของคนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเทศบาล ภาคเอกชน 20 บริษัท และภาคประชาสังคม เป็นประชารัฐที่เข้มแข็ง ในการพัฒนาเมือง วางผังเมือง การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ รถไฟฟ้ารางเบา (LRT) และ Smart Bus เป็นต้น ตามแนวคิด Smart City เพื่อจะรองรับการเติบโตของเมืองที่เชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ของรัฐบาล และของภาคสอดคล้องกับความต้องการของคนขอนแก่น ที่ได้มีส่วนร่วม อย่างมีระเบียบแบบแผน เป็นตัวอย่างความเข้มแข็งด้วยตนเอง โดยไม่รอพึ่งพางบประมาณแผ่นดิน แต่เพียงอย่างเดียว และ 2. บ้านผาสุข ตำบลภูฟ้า อำเภอบ่อเกลือ จังหวัดน่าน ซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆ 130 ครัวเรือน ที่เป็นที่ตั้งของโครงการพระราชดำริศูนย์ภูฟ้า สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน ผู้คนพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลัก ชุมชนเริ่มประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอ สำหรับเกษตรกรรม และอุปโภคบริโภค เป็นที่มาของโครงการพัฒนาระบบการจัดการน้ำโดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เข้ามาอบรมกระบวนการทำวิจัยเพื่อท้องถิ่น มีการระดมความคิด ช่วยคิดช่วยทำ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และสร้างความเข้าใจระหว่างกัน นำมาสู่การวางแผน สืบค้นปัญหา จัดเก็บข้อมูล ตั้งแต่การใช้น้ำของแต่ละครัวเรือน สำรวจแหล่งต้นน้ำ สอบถามผู้สูงอายุและปราชญ์ชุมชน จดบันทึก ลงพื้นที่สำรวจ แล้วนำข้อมูลทั้งหมดจัดทำเป็นฐานข้อมูลกลายเป็นคู่มือของชุมชน สำหรับใช้เป็นแนวทางการบริหารจัดการน้ำของชุมชน อีกทั้งมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของชุมชนให้คนอยู่กับป่าได้อย่างยั่งยืน เช่น มีกฎกติกาของชุมชนในการใช้ประโยชน์จากดิน ป่า น้ำ มีการฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำ การปลูกป่าเสริม และป่าชุมชนโดยแบ่งการใช้ประโยชน์เป็น 3 ส่วน ได้แก่ ป่าต้นน้ำ ป่าอนุรักษ์ และป่าใช้สอย

ตลอดจนสร้างจิตสำนึกการรักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ร่วมกัน พัฒนาชุมชนและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ภายใต้หลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง จะเห็นได้ว่าความร่วมมือกัน แก้ปัญหาในอดีตนั้น หรือวางรากการพัฒนาในอนาคตในทุกมิติ จะต้องเริ่มจากคนในพื้นที่เอง เหมือนการปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน เพราะกลไกประชารัฐมีอยู่ในทุกระดับ ทุกพื้นที่ หากรวมตัวกันได้ เข้าใจกันได้ ก็จะได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน พี่น้องประชาชนที่รักครับ เรื่องดีๆ เกี่ยวกับปากท้องของเราทุกคน ที่ผมอยากมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้ คือ การได้เห็นเศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง กิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ขยายตัวถึงร้อยละ 4.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และนับว่าสูงสุดในรอบ 18 ไตรมาส ที่ผ่านมา ถ้ามองภาพรวม 3 ไตรมาสของปี 2560 นี้ เศรษฐกิจไทยโต ร้อยละ 3.8 และก็คาดว่าเมื่อรวมไตรมาส 4 แล้ว ตลอดปีน่าจะเติบโตได้ ร้อยละ 3.9 ซึ่งน่าจะมีกรขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปีหน้า เราก็คาดว่าจะขยายตัวถึง ร้อยละ 4.1 หากเรามองย้อนกลับไป จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่อง นับจากที่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารประเทศในปี 2557 ที่เรามีการเติบโตได้เพียงร้อยละ 0.9 เท่านั้นเนื่องจากเป็นช่วงที่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ และเรามีปัญหาความขัดแย้งในประเทศ แต่นับจากปี 2558 และ 2559 เราก็ขยายตัวได้ดีขึ้น ต่อเนื่อง เป็นร้อยละ 2.9 และ 3.2 ตามลำดับ เนื่องจากความมีเสถียรภาพในประเทศ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน ทั้งในและระหว่างประเทศ แม้ภาพรวมของโลกจะยังชะลอตัวอยู่บ้าง และค่อยๆ ฟื้นตัว ที่ผ่านมา ภาครัฐก็ได้ทำงานอย่างเต็มที่ ในการที่จะออกมาตรการต่างๆ ทั้งการใช้จ่าย การลงทุน และมาตรการด้านภาษี กฎหมาย เพื่อจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจได้มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง มีการขยายตัวอย่างราบรื่นสม่ำเสมอ ปัจจุบันเราก็เห็นว่าภาคเอกชน ได้เริ่มออกมาใช้จ่าย ลงทุนกันมากขึ้น ตามลำดับ มากบ้างน้อยบ้าง รวมถึงการส่งออกที่ฟื้นตัว และแข็งแกร่งขึ้น มีการขยายวงกว้างมากขึ้นไปในหลายหมวดสินค้า โดยเฉพาะในไตรมาสล่าสุดนี้ ทั้งนี้สินค้าส่งออกสำคัญ ที่ขยายตัวในอัตราที่สูง ได้แก่ชิ้นส่วนอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ปิโตรเลียม เคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ยาง ข้าว มันสำปะหลัง และน้ำตาล ซึ่งก็จะเป็นรายได้ให้กับภาคธุรกิจ และพี่น้องประชาชน ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิต ของกลุ่มสินค้าเหล่านี้ เราต้องย้อนกลับมาดูว่า ราคาวัสดุเหล่านั้นที่เกษตรกรได้รับนั้นมีความสมดุลหรือไม่ กับการที่มูลค่าสินค้าเหล่านี้ในการส่งออกมีมากขึ้น เพราะว่าบางอย่างนั้นกลไกการตลาดนั้นกดทับอยู่ ซึ่งเราก็จำเป็นต้องหารือกับทั้งในประเทศ กับต่างประเทศซึ่งก็เป็นการที่ยากพอสมควร เพราะทุกประเทศก็แข่งขันกัน ในการที่จะลดราคาสินค้าเพื่อจะขายได้มากขึ้นของเราก็จำเป็นต้องไปดูที่ต้นนทางด้วย อันนี้อยากเรียนพี่น้องเกษตรกรให้เข้าใจ เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่จะทำให้ดีขึ้นต่อไป ล่าสุดเราได้เห็นการขยายตัวที่ชัดเจนขึ้น ในผลผลิตภาคการเกษตร การขนส่ง โรงแรม และภัตตาคาร รวมถึงภาคการค้า ซึ่งหมายถึงการจ้างงาน และรายได้ในกลุ่มเหล่านี้ ที่จะมีต่อเนื่องในภาพรวม เม็ดเงินเหล่านี้จะถูกหมุนเวียนผ่านการจับจ่ายใช้สอย ซื้อวัตถุดิบในการผลิต และการจ้างงานต่อกันเป็นทอดๆ ลงมาสู่พี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึงในที่สุด

อีกทั้งยังได้ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การที่เราทยอยฟื้นตัวจากช่วงที่เศรษฐกิจผ่านเหตุการณ์หลายๆ อย่าง รวมถึงความท้าทายของโลกยุคนี้ ซึ่งได้แก่การที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำทั่วโลกมายาวนาน เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าจนเข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ และภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง สร้างความเสียหายรุนแรงขึ้น จากการกระจายตัวของรายได้ ผลตอบแทนการลงทุนอาจจะยังลงไปไม่ถึงพี่น้องประชาชนบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมาก และยังไม่สามารถปรับตัวได้ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ผมอยากจะเรียนว่า ภาครัฐได้ตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้ และไม่ได้หลงใหล ได้ปลื้นชมกับตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว จนไม่ได้มองว่าจะมีการกระจายตัวของผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจได้อย่างไร ที่ยังลงไปไม่ถึงทุกกลุ่ม หรือไม่ทั่วถึงเท่าที่ควร ยังไม่พอเพียง จะเห็นได้จากช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้เร่งดำเนินมาตรการหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องผู้มีรายได้น้อย เช่น การใช้เงินผ่านบัตรสวัสดิการที่จับจ่ายแล้ว 92% คิดเป็นมูลค่ากว่า 5,200 ล้านบาท ณ ร้านธงฟ้าราว 20 ล้านครั้ง และเมื่อวางเครื่องอีดีซีครบ 18,000 เครื่อง ตามเป้าหมายสิ้นเดือนนี้ น่าจะมีเงินหมุนเวียนกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้ดีขึ้นไปอีก

นอกจากนี้ ยังมีการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และน้ำท่วม รวมถึงธุรกิจไมโครเอสเอ็มอีผ่านกลไกประชารัฐ เพื่อจะให้สามารถประกอบธุรกิจ และดำเนินชีวิตในช่วงที่้ต้องปรับตัวในระยะสั้นได้ รวมถึงการรุกด้านต่างๆ เช่น เศรษฐกิจ ภาคเกษตร กฎหมาย การศึกษา สาธารณสุข เพื่อจะสร้างโอกาสให้เท่าเทียมกันมากยิ่งขึ้นจากพี่น้องประชาชน และธุรกิจขนาดเล็กในระยะยาวอีกด้วย ทุกอย่างมันต้องเริ่มแก้ปัญหาภายในก่อน และทำตั้งแต่การบูรณาการไปด้วย เพื่อจะให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยตรงลงไปสู่พี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม ทุกระดับ ระยะต่อไปรัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการเร่งลงทุนในโครงการต่างๆ ให้เต็มที่ เพราะทุกอย่างต้องผ่านกลไกตามขั้นตอนของกฎหมาย ขอความร่วมมือจากภาคประชาชนด้วย โดยเฉพาะเรื่องของความร่วมมือทางด้านที่ดิน การจัดพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดการลงทุนเหล่านั้นเกิดขึ้นได้ รัฐบาลจะดูแลอย่างเต็มที่ เรามีงบประมาณการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ทั้งของภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ อีกทั้งมีมาตรการช่วยเหลือด้านต่างๆ ที่จะดำเนินการต่อเนื่องในปีหน้า ซึ่งมีแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และการปฏิรูปประเทศภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นี่ก็จะเป็นเข็มทิศนำทางในการขับเคลื่อนประเทศที่ชัดเจน และมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน การกระทำผิดกฎหมายไปด้วย สิ่งต่างๆ เหล่านี้เม็ดเงินที่มันไม่สุจริต มันจะไม่ออกมาวนเวียนอยู่ในพื้นที่ แต่อาจจะทำให้มีปัญหาบ้าง เพราะคนมีรายได้น้อยส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง

เพราะฉะนั้นเงินเหล่านี้อาจจะต้องหายไปส่วนหนึ่ง จะทำยังไงล่ะครับ เราคงต้องทำให้มันถูกต้อง เปิดโอกาสให้คนอื่นมากขึ้น การทำธุรกิจผิดกฎหมายลดลง รัฐบาลพยายามที่จะมุ่งมั่นแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ขอความร่วมมือจากภาคประชาชน พี่น้องทั้งหลายด้วย ในส่วนของการเดินหน้าทางการเมืองสู่การเลือกตั้งตามโรดแมป จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่ภาคเอกชน และประชาคมโลกด้วย เพราะฉะนั้นทุกคนควรจะหารือกัน ว่าวันหน้าเราจะอยู่กันอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการเมือง ภาคธุรกิจ ประชาชน รัฐบาล คสช. มันต้องมีหนทางร่วมมือกันสิครับ ไม่ใช่ติติงกันไปมา ผมไม่ได้มีนโยบายในการที่จะไปต่อสู้ ปิดกั้น กีดขวางท่านเลย อย่ามาบิดเบือนซึ่งกันและกันต่อไป ทุกอย่างสามารถที่จะพูดคุยเจรจาหาหนทางออกกันได้ ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่

ผมอยากจะขอความร่วมมือให้ทุกฝ่าย ได้ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หันหน้าพูดคุยหารือกัน รับฟังกันอย่างมีเหตุมีผลด้วยหลักการ ด้วยเหตุผล ด้วยปัจจัยภายในภายนอกที่เป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่คิดเอาเอง หรือเปรียบเทียบในช่วงบางช่วง ซึ่งไม่ใช่สถานการณ์ในเช่นปัจจุบัน ซึ่งมันมีหลายอย่างเข้ามาประกอบด้วย ขอให้ช่วยกันเสนอแนะสิ่งที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ เราจะต้องยึดมั่นจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ และยกระดับความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในระยะยาว สิ่งที่ผมอยากเห็นมากที่สุดจากพี่น้องประชาชนคือ การเตรียมตัวให้พร้อมในการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ และความจริงที่เกิดขึ้นในอนาคตด้วย โลกทุกวันนี้นั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เรื่องเทคโนโลยี ที่เราจะต้องก้าวให้ทัน รู้เท่ากับ ก้าวไปกับเทคโนโลยี และโลกยุคดิจิทัล เพื่อจะแสวงหาโอกาส สร้างนวัตกรรม มุ่งไปสู่การผลิตที่มีมูลค่ามากขึ้น ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะในเรื่องสินค้าเกษตร นับวันประเทศคู่แข่งต่างจะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ มีการพัฒนาขึ้นมาแข่งขันกับเรา ส่งผลให้กดดันให้ราคาตกต่ำ อีกทั้งภัยน้ำท่วม น้ำแล้งที่รุนแรงขึ้น เราต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การผลิต ให้เลือกผลิตพืชผลที่เหมาะกับพื้นที่ เหมาะกับฤดูกาล เหมาะกับดิน เหมาะกับน้ำกับอากาศ ประเด็นที่สำคัญที่สุด สอดคล้องกับความต้องการตลาดด้วย เคยเรียนไปแล้วว่า ดูซิว่าประชาชนอยากรับประทานอะไร ชอบอะไร ต่างชาติชอบสินค้าแบบไหน เราผลิตแบบนั้นออกมา มันอาจจะยากหน่อยในการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราเคยทำมาแบบยาวนาน มีความเคยชิน ขอให้เริ่มศึกษานำมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และดูสถานการณ์น้ำด้วย มีโปรแกรมต่างๆ มีเว็บไซต์มากมาย รวมความไปถึงการให้ข้อมูลในเรื่องของการเพาะปลูกต่างๆ ในเรื่องของการใช้วิธีการของปราชญ์ชาวบ้าน หรือการบริหารจัดการของภาคการเกษตรที่ดำเนินการในลักษณะเป็นสมาร์ทฟาร์เมอร์ เหล่านี้ท่านต้องติดตามจะอยู่ในเว็บไซต์ทั้งของรัฐบาล และของอื่นๆ ภาครัฐเองจะต้องเร่งเข้ามาสนับสนุนให้ข้อมูล ให้เมล็ดพันธุ์ ขยายการผลิตเพื่อการทำเมล็ดพันธุ์ลงไปสู่ประชาชนให้มากยิ่งขึ้น เพราะรัฐโดยอาจจะกระทรวงเกษตรฯ อาจจะผลิตได้ไม่พอเพียง มันต้องไปหาพื้นที่ในการกำหนดในการเพาะปลูก เพื่อทำเมล็ดพันธุ์ในพืชทุกชนิด จะได้ไม่ต้องเอาไปขายแต่เพียงแปรรูปอย่างเดียว ทำเมล็ดพันธุ์ราคาก็สูงขึ้น ฉะนั้นคงต้องไปเรียกพื้นที่ที่มีความสมบูรณ์ในการที่จะไปเป็นเมล็ดพันธุ์ และก็ขยายไปยังพื้นที่อื่นอีกด้วย เพิ่มเติมไปจากของรัฐบาลจะได้ไม่ต้องไปใช้เงินมากในการจะที่ไปซื้อจากภายนอก

ทั้งนี้ ก็เป็นทางเลือกของประชาชนนั่นเอง รวมถึงในเรื่องของการช่วยเหลือเรื่องเครื่องมือ การจัดระเบียบเครื่องมือ อุปกรณ์การเกษตร และนำเทคโนโลยีมาใช้ให้ได้มากขึ้น รวมทั้งให้การสนับสนุนให้ตรงความต้องการของประชาชน บางคนอาจจะไม่ได้ต้องการเงินทุน แต่ต้องการความรู้ ต้องการเทคโนโลยี ต้องการในเรื่องของการตลาด การบริหารในเรื่องของการผลิต การแปรรูป และการจำหน่าย เราจะได้สามารถพัฒนาการผลิตของตนระยะยาวได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำไปสู่การทำให้ครบวงจร เพิ่มพูนผู้ประกอบการรายใหม่ ทั้งสตาร์ทอัป เอสเอ็มอี ในการนำไปสู่การเป็นบริษัทขนาดกลาง ขนาดใหญ่ ต่อไปในอนาคต

เราต้องเริ่มใหม่ รวมกันให้ได้ รวมกลุ่มสหกรณ์ รัฐวิสาหกิจ ประชารัฐ ต้องเข้มแข็ง เราสู้กันไปสู้กันมาไม่ได้แล้วในวันนี้ เราต้องเปิดช่องทางของตัวเราเอง รัฐบาลส่งเสริมตรงนี้ เพราะนี่คือการส่งเสริมให้มีการพัฒนาให้เกิดการเข้มแข็งภายใน ที่เรียกว่าระเบิดจากข้างใน เกิดจากใจของประชาชนเอง ของเกษตรกรเอง เราเอาทุกอย่างมาปรับใช้ให้มากขึ้น เพิ่มการลดต้นทุน

สำหรับพี่น้องแรงงานก็ต้องเรียนรู้ เข้าใจการนำเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งเตรียมพร้อมในการที่จะต้องปรับตัว เปลี่ยนแปลงเข้าสู่งานใหม่ ที่มีรายได้มากขึ้น หรือกรณีที่แหล่งจ้างงาน ต้องใช้เทคโนโลยีเขามาทดแทน ในการใช้แรงงานของท่าน แล้วก็ต้องมีการยกระดับเพิ่มศักยภาพของตนเอง ให้เป็นผู้ใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เราเองด้วย

ภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากได้มีนโยบายสนับสนุนให้สถานศึกษาได้จัดทำหลักสูตรระยะสั้นในการพัฒนาฝีมือ และความเชี่ยวชาญเพื่อจะให้แรงงานมีทักษะ มีความรู้ ส่งออกความต้องการของผู้ประกอบการในยุค 4.0 ด้วย ก็ขอให้ติดตาม และใช้ประโยชน์เพื่อเปิดโอกาสให้กว้าง สร้างรายได้ให้สูงขึ้นให้กับตัวท่านเองต่อไปเพื่อจะเป็นการสร้างความเข้มแข็งเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดไป ประชาชน รัฐบาล และทุกคน ต้องร่วมมือกัน

พี่น้องประชาชนที่เคารพครับ ตัวอย่างการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน ที่ต้องอาศัยการปรับตัว ปรับโครงสร้างเกษตรกรรมของประเทศ ภายใต้หลักคิด ตลาดนำการผลิต ก็คือผลิตให้มีการสอดคล้องของความต้องการของตลาด ซึ่งต้องพิจารณาให้ครบวงจร อาทิ

1. โครงการส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลาย ฤดูนาปรัง อันนี้ก็จะแก้ปัญหาเรื่องข้าว ราคาข้าวทุกชนิด ที่เราจะต้องการแก้ปัญหาผลผลิตข้าวล้นตลาดไปแข่งขันจากภายนอก ซึ่งก็มีล้นตลาดเหมือนกัน 5 ปีที่ผ่านมา เราผลิตข้าวได้เฉลี่ยราว 36 ล้านตันข้าวเปลือก ในขณะที่มีความต้องการของตลาดเพียง 30 ล้านตันข้าวเปลือก ใช้ในประเทศ 16 ล้านตัน ส่งออก 14 ล้านตัน โดยประมาณ เราจำเป็นต้องลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรังลง นาปีก็ว่าไป ตามที่มีน้ำ ในเขตนอกเขตชลประทาน แต่นาปรังเราควรต้องลดลงบ้าง เพื่อไปทำการเกษตรอย่างอื่น เป็นการพักที่ดินด้วย เพื่อจะพัฒนาดินให้ดีขึ้น ลดการใช้ปุ๋ยให้น้อยลง

ถ้าเราสามารถลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรังจำนวน 150,000 ไร่ ใน 53 จังหวัด ในช่วงพฤศจิกายน 2560 - เมษายน 2561 และไปทำกิจกรรมทางเลือกอื่นๆทดแทน เป็นการทำงานเชิงระบบ ได้แก่ การปลูกข้าวสลับพืชอื่น เพื่อให้เป็นวัตถุดิบ ป้อนโรงงานอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ อาหารแปรรูป เช่น ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดฝักอ่อน และพืชผักสวนครัว รวมทั้งเพื่อเป็นการลดการนำเข้า เช่น ถั่วเหลือง เรานำเข้า 2.2 ล้านตันต่อปี ถั่วลิสงนำเข้าเกือบ 1 แสนตันต่อปี และถั่วเขียวนำเข้า 30,000 ตันต่อปี เหล่านี้เป็นต้น เข้ามาแล้วบางทีของเรา ก็จำเป็นเพราะขาดแคลนก็ต้องเอาเข้ามา ของเราก็จำเป็น เเต่อย่าให้มีการลักลอบ ก็เลยมีปัญหามาทั้งหมด เพราะทุกคนก็ไม่ซื่อสัตย์ซึ่งกันและกัน รัฐบาลพยายามทำเต็มที่

ทั้งนี้ นอกจากการช่วยลดความเสี่ยงราคาผลผลิตข้าวนาปีตกต่ำแล้ว ยังช่วยให้มีรายได้เสริม จากการปลูกพืชอื่น ตัดวงจรการระบาดของศัตรูข้าว ดินก็มีการฟื้นตัว ได้รับแร่ธาตุเพิ่มเติมอีกด้วย รัฐบาลก็จะเข้าไปส่งเสริมทางวิชาการ และค่าใช้จ่าย ไร่ละ 2,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่ ก็ขอให้ความสนใจเข้ามาร่วมในโครงการด้วย

2. โครงการปลูกพืชปุ๋ยสด ทางเลือกเพิ่มเติมจากโครงการแรก ก็เป็นส่วนหนึ่งของทางการผลิต และการตลาดข้าว ครบวงจร ปี 2550 - 2561 ส่งเสริมการปรับปรุงบำรุงดินให้มีความสมบูรณ์ เป็นผลผลิตในการเพิ่มผลผลิตในฤดูกาลถัดไป มีพื้นที่ทำนาปรัง 22 จังหวัด ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และลุ่มน้ำแม่กลอง ประมาณ 2 แสนไร่ ตั้งแต่พฤศจิกายน 2560 - มิถุนายน 2561 รัฐบาลจะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด และงบค่าไถ 2 ครั้ง คือ ไถเตรียมดิน และไถกลบ 500 บาทต่อไร่ต่อครั้ง และครัวเรือนละไม่เกิน 15 ไร่

ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์นี้ ก็ได้มีมติเห็นชอบให้ดำเนินการได้ทั้ง 2 โครงการแล้ว ผมก็ไม่ได้เชิญชวนอยากให้พี่น้องเกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว โดยสมัครใจเท่านั้น แต่ผมอยากให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนัก ได้เข้าใจถึงแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาล เพื่อจะมุ่งสร้างความยั่งยืนในวงจรผลิตและตลาดข้าว ที่ต้องการความร่วมมือจากทุกคน ซึ่งผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับพี่น้องเกษตรกรทุกคน รวมทั้งผู้ที่ปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาง วันนี้ผมได้สั่งการไปกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้วพื้นที่ใดก็ตามที่เป็นการปลูกยาง เป็นการบุกรุกโดยนายทุนจะต้องตัดทิ้ง ไม่มีการกรีดอีกต่อไป ตามไปสู่พื้นที่ที่ประชาชน อาจจะมีความเดือดร้อนอยู่ขณะนี้ก็จะมีการตรวจสอบและหามาตรการว่าจะต้องทำอย่างไร ในการที่จะสามารถมีรายได้จากผลผลิตยางเหล่านั้นได้ด้วย แต่ต้องถูกกฎหมาย ตอนนี้ก็ได้สั่งการไปหมดแล้ว

เรื่องของการกรีดยางในสวนป่าของรัฐบาลก็ลดการกรีดลงไปทั้งหมด เพื่อจะให้ปริมาณยางที่ออกมาสู่ตลาดนั้นลดลง มิเช่นนั้นแล้วปัญหาก็จะเกิดขึ้น ผมได้สั่งการให้แก้ปัญหาไปทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องประชุมหารือกัน และนำข้อเสนอทั้ง 6 ข้อของเกษตรกรชาวสวนยาง มาพิจารณา อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ ก็ขอให้ฟังเหตุฟังผลกันด้วย ไม่ใช่จะเอาชนะกัน รัฐบาล หรือข้าราชการก็มีกฎหมาย มีพันธสัญญาต่างประเทศมากมาย ทำอะไรตามใจตัวเองมากๆ มันก็มีปัญหาทั้งหมด

ต้องดูตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ในเรื่องของการบริหารจัดการที่ดิน ทรัพยากรน้ำทั้งระบบ ต้นทุนการผลิต เมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย เครื่องจักรกล พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ แหล่งเงินทุน หนี้่สิน ตลาดประชารัฐ ตลาดออนไลน์ เป็นต้น สิ่งนี้เกิดขึ้นสมัยรัฐบาลนี้ทั้งสิ้น เราเอาออกมาเน้น ดึงออกมา ในช่วงแรกก็ก็อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่าจะเป็นความสำเร็จระยะต่อไป ส่วนหนึ่งที่มีความก้าวหน้ามาได้ ก็มาจากการประชาสัมพันธ์ การให้ข้อมูลกันปากต่อปากของเกษตรกรเอง หรือผู้ประกอบการ หรือผู้ผลิต

ในส่วนของการให้ข้อมูลข่าวสารของพี่น้องสื่อมวลชนก็เช่นกัน ขอบคุณที่เราจะช่วยกันสร้างความเข้าใจและร่วมมือได้มากยิ่งขึ้นอีกต่อไป อีกทั้งผมได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์ ได้เชื่อมโยงเครือข่ายวิทยุชุมชน หอกระจายข่าว ที่สำคัญมากในการที่จะมีบทบาทในชุมชน เพื่อใช้ข้อมูลข่าวสารสาระประโยชน์ ให้มากกว่าสิ่งที่เอามาพูดกันและให้เกิดความเสียหาย ทะเลาะขัดแย้ง เช่นเดิมๆ และก่อนหน้าที่ผมเข้ามานั้น เราคงยอมรับไม่ได้ ก็ขอให้ไปช่วยกันทำประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยุชุมชนเหล่านี้ เพื่อจะให้ถึงมือพี่น้องประชาชนทุกคน ได้รับทั้งข่าวสาร ข้อมูลข้อเท็จจริง ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ บางพื้นที่อาจจะต้องใช้ภาษาถิ่นด้วย

สุดท้ายนี้ เดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และบุคคลในครอบครัว ซึ่งเราทุกคนรู้ดีว่า ครอบครัว หรือบ้าน เป็นสถาบันที่เล็กที่สุดของสังคม แต่มีความสำคัญที่สุด เอาบ้านก่อน ครอบครัว แล้วถึงไปโรงเรียน แล้วค่อยไปสังคม ประเทศชาติต่อไป สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ก็คือ ครอบครัว อันเป็น 1 ใน 3 ประสาน ของหลักการ “บวร” ตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ ๙

ทั้งนี้ นอกจากอวัจนภาษา เช่น การกอด หอม แสดงความรักต่าง ๆ แล้ว วัจนภาษา หรือคำพูดดีๆ สำหรับคนในครอบครัว เช่น เหนื่อยไหม รักนะ มีอะไรให้ช่วยไหม เก่ง ดีเยี่ยม พ่อ แม่ ลูก สามี ภรรยา ญาติพี่น้อง ใช้ได้ทั้งหมด ขอบคุณนะ ขอโทษนะ เป็นต้น อย่าใช้อารมณ์ใส่กัน ล้วนช่วยสร้างกำลังใจ และเป็นพลังให้กับทุกคนในครอบครัว รับฟังซึ่งกันและกัน อย่าใช้อารมณ์ ส่วนคำพูดที่ไม่ดี ที่ทำลายจิตใจ ทำลายขวัญ ทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะผู้ใหญ่กับเด็ก บางครั้งก็ต้องฟังเด็กบ้าง ตอนนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราอาจจะเป็นคนที่เกิดในรุ่นก่อนหน้านี้ แต่ลูกหลานก็โตในยุคที่มีดิจิตอล มีเทคโนโลยีที่มันเจริญก้าวหน้ามากขึ้น เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้บางครั้งเราต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน ลูกก็ต้องเข้าใจพ่อแม่นะครับ ซึ่งผมก็ไม่อยากนำมากล่าว ณ ที่นี้ (ตัวอย่างตามหน้าจอ) ก็ควรลด - ละ - เลิกเสีย เพราะนอกจากจะเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้อารมณ์ เหนือเหตุผลแล้ว ยังนำไปสู่การใช้กำลังกับคนในบ้าน ลุกลามไปสู่การใช้ความรุนแรงในสังคม ตามท้องถนน ปัญหาอีกเรื่องนึงก็คือการใช้กำลัง ในเรื่องของการคุกคามทางเพศเหล่านี้ก็ยังมีให้เห็นอยู่เสมอ ถึงแม้จะเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากรทั้งประเทศ แต่มันก็ไม่น่าจะเกิดขึ้น ต้องเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าทุกคนช่วยกันดูแล ถ้าทุกคนมีสติ มีจิตสำนึก และการตัดสินปัญหาด้วยการใช้ความรุนแรง ประทุษร้ายกัน เช่น บนท้องถนน ขับรถอะไรต่างๆ เหล่านี้ก็มีให้เห็นอยู่เสมอ ก็อย่าให้เกิดขึ้นอีก

สำหรับการใช้ความรุนแรง ทางกาย วาจา ใจ เช่น การกักขัง ข่มขืน ข่มขู่ ด่าทอ ทุบตี ทำอนาจาร ฯลฯ เหล่านี้มันเกิดขึ้นมาในสังคมทุกวัน เราเห็นอยู่แล้ว ก็ต้องไปดูในโซเซียลมีเดียนะครับ การที่นำเสนอเหตุการณ์ความรุนแรง หรือว่าเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าจะแพร่กันต่อมา คำหยาบคาย เว็บที่มันส่อให้เห็นในเรื่องของการหมกมุ่นทางเพศ อะไรเหล่านี้ต้องแก้ไขทั้งหมด แล้วใครจะแก้ ผมก็ไม่สามารถจะไปตามได้ทั้งหมด เพราะมีจำนวนเยอะมาก เพราะทุกคนเข้าถึงการใช้เทคโนโลยี การใช้ดิจิตอลจำนวนมากนะครับ ประเทศไทยถือเป็นอันดับแรกๆ ในอาเซียนด้วย สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชีวิต ของประเทศชาติ และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิขั้นพื้นฐาน สำหรับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนต้องพิทักษ์ไว้ ต้องไม่ละเมิดผู้อื่น การที่เราจะเขียนในโซเซียลมีเดีย หรือไปให้ร้ายใครโดยที่เราไม่มีข้อเท็จจริง อันนั้นก็ละเมิดสิทธิผู้อื่น อย่ามองว่าจ้องแต่รัฐบาลจะไปละเมิดสิทธิของท่าน ถ้าท่านไม่ละเมิดกันเอง รัฐบาลจะไปทำอะไรได้ รัฐบาลจำเป็นต้องดูแลกฎหมาย ไม่มีการละเมิดกฎหมายบ้านเมืองด้วย

ทั้งนี้ ผมหมายรวมถึงการละเมิดสิทธิสตรี ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG 2030) เรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศ และการเสริมพลังสตรี รวมทั้งหลักการการทำธุรกิจที่เคารพสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ ที่ให้ความสำคัญกับลูกจ้าง แรงงาน เพื่อสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ และความเป็นธรรมทางสังคม ประกอบด้วย 3 เสาหลัก คือ การคุ้มครอง การเคารพ การเยียวยา อาทิ การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ การทำประมงที่ผิดกฎหมาย IUU ซึ่งรัฐบาลนี้ถือเป็นวาระแห่งชาติ การไม่ดำเนินธุรกิจที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ และสิ่งแวดล้อมในชุมชน เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และสนธิสัญญาระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีอยู่หลายฉบับ อย่าไปมองเฉพาะเรื่องการเมืองอย่างเดียว โดยรัฐบาลนี้ เปิดช่องทางการรับเรื่องร้องเรียน และไกล่เกลี่ยของหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ เช่น ศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศ (สายด่วน 1567) ส่วนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่จะรับเรื่องร้องเรียน และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบได้

นอกจากนี้ ผมเห็นว่าบริษัท หรือผู้ประกอบการเอง ก็ควรจัดให้มีช่องทางรับเรื่องร้องเรียน ในสถานประกอบการของตน เพื่อขจัดและแก้ไขปัญหา หรือบรรเทาผลกระทบ ด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในเบื้องต้น ก่อนที่จะบานปลาย อย่างไรก็ตาม ผมเห็นว่าหากสามารถยุติการใช้ความรุนแรงได้ ตั้งแต่ที่บ้าน ก็จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคมของเราโดยรวม ยิ่งกว่านั้น หากสังคมไทยสามารถรักษาสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานตามที่กล่าวมานั้น ควบคู่กับวางรากฐานการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลแล้ว ก็จะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลนี้ด้วย

พี่น้องประชาชนที่เคารพ สัปดาห์หน้าวันที่ 27 - 28 พฤศจิกายน จะมีการลงพื้นที่ของจังหวัดต่างในภาคใต้ของคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินการต่าง ๆ ตามงบประมาณของรัฐบาล จะได้ขับเคลื่อนสิ่งที่ยังมีปัญหาติดขัดอยู่ และสอบถามความต้องการเพิ่มเติม รวมทั้งจะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีในพื้นที่อีกด้วย สำหรับผลการปฏิบัติจะนำมาเล่าให้พี่น้องประชาชนได้รับฟังในวันศุกร์หน้า

ขอบคุณครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น