ธำรงวินัยหรือแค่สะใจ!! “บิ๊กป้อม”เฉไฉจนมั่ว อ้าง“นตท.เมย”เป็นฮีทสโตรก ก่อนเจอลูกน้องหักหน้ายับ สังคมหดหู่“พี่ใหญ่กองทัพ”ประทับตรา “ซ่อมจนสลบ-หัวใจหยุดเต้น”เรื่องธรรมดา ขัดความจริงที่ใครก็รู้ว่า มันคือ“ทำร้ายร่างกาย”กันชัดๆ พิรุธ“ควักอวัยะวะภายใน”ยังไม่คลี่คลาย จนมีคำถามว่าเข้าข่าย“อำพรางคดี”หรือไม่??
สังคมไทยต้องหดหู่ใจกับคำพูดของ“ผู้มีอำนาจ”ถึงการที่เราต้องสูญเสีย “อนาตของชาติ”ไปอย่างไม่มีวันกลับ .. กรณี “เงื่อนงำ” การตายของ “นตท.เมย”ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ต.ค.60 หลังกลับเข้าโรงเรียนเตรียมทหารได้เพียง 1 วัน .. ที่สาเหตุการตายขมุกขมัวมาแรมเดือน ก่อนจะเป็นเรื่องขึ้นมา ทว่า“ผู้ใหญ่ในบ้านเมือง”กลับพยายามชี้นำว่า สาเหตุการตายมาจาก“ความอ่อนแอ” ของผู้ตายเอง .. เพื่อตีตกส่วนข้อสงสัยว่า“นตท.เมย”ถูก “ทำร้ายร่างกาย”ในระหว่างที่อยู่ในโรงเรียนฯ ผ่านรหัสที่เรียกขานกันในวงการว่า“โดนซ่อม - โดนแดก”นั่นเอง .. โดยเฉพาะรายของ“บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ผู้ได้ชื่อว่าเป็น“พี่ใหญ่แห่งกองทัพไทย” ในปัจจุบัน .. ที่ถูกถามจี้ถึงระบบ“ซ่อม - แดก”ในกองทัพ ถึงกับออกตัวว่า เคยโดนซ่อมจนสลบไปเหมือนกัน แต่“ผมไม่ตาย”ทำเอาคนได้ยินถึงกับบ่นในลำคอ “น่าเสียดายเนอะ!!”..เป็นคำพูดของ “พี่ใหญ่แห่งกองทัพไทย”เสมือนประทับตรารับรองว่า ระบบ “ซ่อม - แดก”เป็นเรื่องปกติ-ถูกกฎหมาย .. และย้ำว่าเหตุการณ์ “ซ่อมจนสลบ-หัวใจหยุดเต้น”เป็นเรื่องปกติธรรมดา พยายามตีกรอบว่า“ซ่อม-แดก”คือการ“วิ่ง วิดพื้น สก๊อตจั๊มพ์”ที่ไม่แตะเนื้อต้องตัวกัน ทั้งที่คนภายนอกมองว่าเป็น“การทำร้ายร่างกาย”ชัดๆ จนน่าแปลกใจว่า “นตท.เมย”วิ่ง วิดพื้น สก๊อตจั๊มพ์ ท่าไหน ถึงขนาดมี“รอยฟกช้ำ-ซี่โครงหัก” ..ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีคำพูดประมาณว่า “คนที่จะมาเป็นนักเรียนทหาร ต้องพร้อมสำหรับการสูญเสีย และการถูกธำรงวินัย” .. นำมาซึ่งคำถามว่า“วัฒนธรรมธำรงวินัย”เหมาะควรแล้วหรือ ที่ผู้ที่มีความตั้งใจเข้ามาศึกษา เพื่อทำงานรับใช้ประเทศชาติ แต่ต้องกลายมาเป็น“เหยื่อ” ของครูฝึก-รุ่นพี่บางคน จนอาจนำไปสู่ “การฆ่าคนตายโดยถูกกฎหมาย”เช่นนี้ .. ถามต่อว่า ระบบที่รังสรรค์ขึ้น แล้วสืบทอดกันมาอย่างหวงแหนนี้ เพื่อ “ธำรงวินัย”หรือเพื่อ “ความสะใจ”กันแน่
ยิ่ง“อำมหิต”ไปกว่านั้นก็การที่ “บิ๊กป้อม”พยายามตอกย้ำหลายครั้งว่า ที่“น้องเมย”เสียชีวิต เนื่องจากสุขภาพของเด็กเอง ตั้งตรรกะว่า “อ่อนแอ - ป่วย”จนสิ้นใจไปเอง .. จู่ๆ ก็พลิ้วไปว่า“นตท.เมย”เป็นโรค “ฮีทสโตรก”หรือ “โรคลมแดด”ทำให้ร่างกายอ่อนแอ .. ไม่เท่านั้น ยังระบุด้วยว่า สัดส่วนนักเรียนเสียชีวิตจาก“โรคลมแดด”มีน้อย แม้ว่าจะโดนซ้อม แต่ส่วนใหญ่ร่างกายแข็งแรง .. ย้อนแย้งเข้าอย่างจังกับ“บิ๊กต๊อก”พล.อ.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) หรือ“ลูกรักบิ๊กป้อม”อย่าง “เสธ.ต้อง”พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ หัวหน้าสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ในฐานะโฆษกกระทรวงกลาโหม ที่ระบุว่า“น้องเมย”ไม่มีสภาวะการเป็น “โรคฮีทสโตรก”แต่อย่างใด จนจับได้ไล่ทันว่า“รองนายกฯความมั่นคง”พูดแก้ตัวไปแบบกลอนพาไป โดยไร้ข้อเท็จจริง เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครเอ่ยถึง“โรคลมแดด” มีเพียงกล่าวถึงปัญหาเรื่องสุขภาพหัวใจของผู้ตายเท่านั้น .. จึงถือเป็นความเห็นที่น่าหดหู่เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อออกมาจากปาก“ผู้มากบารมี”คับกองทัพในปัจจุบัน
และต้องไม่ลืมว่า สิ่งหนึ่งที่ “คนในกองทัพ”ยังตอบไม่ได้ อ้อมแอ้ม ให้ไปเป็นเรื่องของ“ทางการแพทย์”ก็ “เงื่อนงำ”การที่ “อวัยวะภายใน”ของ “นตท.เมย”หายไป .. แม้จะพยายามอ้างว่า เป็นกระบวนการ“ชันสูตรศพ”อย่างละเอียด ซึ่งอาจจะพอเข้าใจได้ แต่การไม่แจ้งให้ทางครอบครัวทราบ ตรงนี้ต่างหากที่“มีพิรุธ” ..เป็น “พิรุธ”ที่เข้าข่ายการ“อำพรางคดี”พยายามปกปิดสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริง .. ด้วยคงรู้ดีว่า วิวัฒนาการ “ชันสูตรพลิกศพ”ปัจจุบันไปไกลมากแล้ว.
** ตัวใครตัวมัน!! “สับ วาปี”โผล่มอบตัว ชิ่ง “แก๊งครูจอมทรัพย์”แฉแหลก ถูกบงการจ้าง 4 แสนรับผิดแทน งานนี้คงไม่มีใครช้ำเท่า“รองฯดุษฎี อารยะวุฒิ”ที่ออกตัวแรง เทไปจนหมดหน้าตัก
พลิกไปพลิกมาหลายตลบ สำหรับ "คดีประวัติศาสตร์" กรณี "ครูแพะ”จอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครูโรงเรียนบ้านม่วงไข่ประชาราษฎร์สงเคราะห์ อ.โคกศรีสุพรรณ จ.สกลนคร ที่ศาลฎีกาพิพากษาตัดสินให้จำคุก 3 ปี 2 เดือน เมื่อปี 2556 แต่ติดคุกได้เพียงแค่ 1 ปี 6 เดือน ก็ได้รับการอภัยโทษออกมา เมื่อปี 2558 .. ก่อนที่ "ครูจอมทรัพย์" ได้มีการร้องทุกข์ต่อกระทรวงยุติธรรม เพื่อขอรื้อคดี จนกลายเป็นข่าวครึกโครมอยู่พักใหญ่ .. จนที่สุดศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาตัดสินชี้ขาดอีกครั้ง เมื่อวันที่ 17 พ.ย.60 ที่ผ่านมา ให้ยกคำร้องขอรือฟื้นคดี .. โดยศาลให้เหตุผลสำคัญคือ การที่ “พยานเอก”อย่าง สับ วาปี ที่รับว่าเป็นผู้ขับรถในวันเกิดเหตุ ไม่ยอมขึ้นเบิกความในชั้นศาล .. ทีนี้ก็จอด จนศาลยกคำร้องไม่รื้อฟื้นคดี คราวเคราะห์ก็ตกมาอยู่ทางฝั่ง “ครูจอมทรัพย์”บ้าง เมื่อฝ่ายตำรวจที่ตกเป็นจำเลยมาตลอด โต้กลับด้วยการไล่เล่นงานทางคดี “ขบวนการรับจ้างให้การเป็นเท็จ”ในคดีครูจอมทรัพย์ โดยออกหมายเรียก “ผู้ถูกกล่าวหา”ในความผิดฐานแจ้งความอันเป็นเท็จ ไปทั้งหมด 7 คน ด้วยกัน .. พร้อมแยกทีมสืบสวนอีกชุดหนึ่ง เพื่อค้นหาข้อมูลเอาผิดผู้ที่เข้าไปโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่่ตำรวจ จนทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วย ..
คีย์แมนสำคัญในคดีเบิกความเท็จ ที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีคอยท่าอยู่ ก็มีทั้ง“ครูจอมทรัพย์ - สับ วาปี”รวมทั้ง “ครูอ๋อง”สุริยา นวลเจริญ ที่ถูกระบุว่าเป็น“หัวหน้าแก๊ง”บงการวางแผนทั้งหมด .. เมื่อรู้ว่าภัยมาถึงตัวแน่แล้ว คราวนี้ก็ “ตัวใครตัวมัน”เมื่อ “สับ วาปี”ได้เดินทางเข้ามอบตัวกับทางตำรวจ .. พร้อมแฉขบวนการทั้งหมด ว่า ถูก“ครูอ๋อง”ว่าจ้างให้ออกมารับผิดว่า เป็นคนขับชนคนตาย แทน“ครูจอมทรัพย์”ด้วยวงเงิน 400,000 บาท แต่ก็ยังไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว .. ไม่ใช่แค่ตัวละครระดับชาวบ้านธรรมดา อีกฟากฝั่ง อัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ก็ได้ชงเรื่องให้กระทรวงยุติธรรม ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ตลอดจนเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรม ที่ทำงานในคดีครูจอมทรัพย์ .. ด้วยตลอดระยะเวลาที่เป็นข่าวครึกโครมนั้น “รองฯดุษฎี”มีส่วนสำคัญในการรับลูก “แก๊งครูจอมทรัพย์”ถึงขนาดออกหน้าชนกับฝ่ายตำรวจมาโดยตลอด .. แต่หลังจากคำพิพากษาออกมา ล่าสุด“รองฯดุษฎี”กลับระบุว่า ทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามี“ขบวนการรับจ้างติดคุก”จึงถูกไล่เบี้ยถึงงงบประมาณที่สูญเสียไปในการช่วยรื้อคดี .. แม้อาจจะไม่ได้มีความผิดทางอาญา เหมือน “แก๊งครูจอมทรัพย์”แต่ “รองฯดุษฎี”น่าจะได้รับบทเรียน และบาดแผลหนักกว่าใครเพื่อน ด้วยอนาคตราชการที่คงต้องดับไปอย่างน้อยชั่วขณะหนึ่ง เหมือนทุ่มแทงหวยผิดเบอร์ จนหมดตัวนั่นแหละ.
ช.ชฎา