เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่าอีกไม่กี่อึดใจรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ หรือที่เรียกว่า “ประยุทธ์ 5” น่าจะคลอดออกมาจะรู้กันว่ามีใครออกใครเข้ามาเพิ่มเติม หรือมีการสับเปลี่ยนตำแหน่งกันกี่เก้าอี้ เพราะเชื่อว่านาทีนี้ยังอยู่ในขั้นรอคอยตามขั้นตอนสำคัญ
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีรายงานว่ามีรายชื่อรัฐมนตรีคนนั้นคนนี้ถูกปรับออก หรือบางคนก็มีการทยอยเก็บเข้าของออกจากห้องทำงานกันไปตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ตาม ขณะที่บางคนก็ยังลุ้นกันจนนาทีสุดท้ายว่าจะยังได้ร่วมในรัฐนาวาลำนี้ได้ต่อไปหรือไม่
แต่โดยรวมก็ต้องเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกคนทุกจะรับรู้สัญญาณจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่กล่าวในวงประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมากันดีอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องการออกตัวว่าจำเป็นต้องปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อประโยชน์ชาติ หากมีใครต้องออกไปก็ให้รับรู้ว่าไม่ใช่เพราะความผิดหรือบกพร่อง และขอ “อย่าโกรธกัน” และขอบคุณที่ร่วมงานกันมานาน อะไรประมาณนี้ เป็นการพูดแบบรักษาน้ำใจ แน่นอนว่าคนที่ถูกปรับออกมันก็ย่อมรู้สึกน้อยใจในใจเป็นธรรมดา หรือบางคนอาจรู้สึกโกรธด้วยซ้ำไป เคยเห็นกันมาแล้วในยุครัฐบาลของพวก “ฝ่ายประชาธิปไตย” มาแล้ว บางยุคถึงกับทำให้รัฐบาลชุดใหม่เดินต่อไปลำบาก เกิดความปั่นป่วนขึ้นมาก็มี
แน่นอนว่าเป้าหมายของการปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพการทำงานมากกว่าเดิม เน้นการขับเคลื่อนตามนโยบายที่วางเอาไว้ โดยเฉพาะการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจปากท้อง ลดความเหลื่อมล้ำ รวมไปถึงบริหารความคาดหวังของชาวบ้านในเรื่องของการ “ปฏิรูปทุกด้าน” ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ สลัดพวก “ตัวถ่วง” และพวกรัฐมนตรีที่ผลงานไร้มาตรฐานออกไป
แต่ปัญหาก็คือ รัฐมนตรีพวกหลังล้วนอยู่ในระดับ “ขาใหญ่” หรือประเภทพวกพ้องน้องพี่ ที่บางคนเข้ามาอิงแอบสร้างเครือข่ายอิทธิพลทางการเมืองครอบงำไปทุกวงการ คนพวกนี้แม้ในสายตาชาวบ้านจะมีภาพลักษณ์เป็นลบ แต่ก็ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สลัดออกยาก ประเภท “พี่ใหญ่ พี่รอง เพื่อนรัก” อะไรแบบนี้และด้วยวัฒนธรรมทหารที่เคารพนับถือ “นายเก่า” ย่อมทิ้งกันลำบาก
ขณะเดียวกัน อย่าได้แปลกใจที่มีเสียงกดดันจากภายนอกให้ลดหรือโละพวกบรรดา “นายพล” ที่หอบหิ้วกันมาจากกองทัพออกไปบ้าง โดยเฉพาะในเก้าอี้กระทรวงสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมามีเสียงวิจารณ์ในทางลบ รวมทั้งกดดันให้มีการเปลี่ยนตัว
สำหรับบรรดารัฐมนตรีที่มักถูกวิจารณ์ในทางลบ หากพูดกันแบบตรงไปตรงมาก็ต้องบอกว่า “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ผ่านมาถูกมองว่าได้สร้างเครือข่าย “วงษ์สุวรรณ” ออกไปอย่างกว้างขวาง รวมไปถึงถูกมองว่ายังต้องการขยายเครือข่ายต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังมี “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “เพื่อนรัก” ที่หอบหิ้วกันมานาน และรวมไปถึงบรรดานายพลอีกหลายคนที่แม้ว่าจะไม่มีเรื่องอื้อฉาว แต่ผลงานไม่เอาอ่าว บางคนเป็น “รัฐมนตรีโลกลืม” ทำงานไปวันๆ แบบข้าราชการประจำไปเช้าเย็นกลับซึ่งก็ฝังตัวอยู่จำนวนไม่น้อย
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้วยังเชื่อว่าการปรับคณะรัฐมนตรีคราวนี้หรือเหมือนกับหลายครั้งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่มีอิสระแบบ “เต็มร้อย” นั่นคือยังต้องถนอมน้ำใจ “เพื่อนพ้องน้องพี่” ตามแบบทหารดังกล่าว และคงไม่มีทางที่เขาจะเป็นผู้คัดเลือกรัฐมนตรีทั้งหมด อย่างมากก็พิจารณาสับเปลี่ยนกันตามโควตา เช่นรัฐมนตรีในกลุ่มนี้เป็นโควตาของ “พี่ใหญ่” เป็นคนคัดเลือก เช่น กระทรวงแรงงาน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน ดังนั้นหากจะมีการเปลี่ยนแปลงก็กลายเป็นว่าพี่ใหญ่จะเป็นคนคัดเลือกแล้วส่งรายชื่อเข้ามา เป็นต้น
ดังนั้น ไม่ว่าสภาพความเป็นจริงตามโครงสร้างอำนาจในรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเป็นแบบไหนก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังต้องพึ่งพาบรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ในกองทัพอยู่อีกต่อไปหรือไม่ ก็ตาม แต่ผลที่ออกมามีแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้นที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร และหากการปรับคณะรัฐมนตรี “ประยุทธ์ 5” ยังหวังผลไปถึงอนาคตทางการเมือง เพื่อหวังผลกับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง เขาก็ต้องรับไปเต็มๆ ไม่ว่าบวกหรือลบ
และเชื่อหรือไม่ว่าคนที่ลุ้นหนักกว่าใครกับรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ที่จะประกาศออกมาก็คือเขานั่นแหละ เพราะหากชื่อปรากฏออกมาแล้วมีแต่เสียง “ยี้” หรือเสียงยี้ดังจนกลบเสียงอื่น มันก็จะทำให้ทำงานยาก และยิ่งเป็นช่วงที่กำลังถูกมองว่า “ขาลง” แบบนี้มันก็น่าหวาดเสียว เพราะต้องไม่ลืมว่ายังมีพวกนักการเมืองที่รอ “ลับดาบ” ฟาดฟันอยู่ทั้งในเงามืดและเปิดเผยเต็มไปหมด
ถึงได้บอกว่างานนี้คนที่ลุ้นเหงื่อตกกว่าใครก็คือ “ลุงตู่” นั่นแหละ!