ข่าวปนคน คนปนข่าว
** โอกาสสุดท้าย!!“วงษ์สุวรรณชง - จันทร์โอชาเซ็นต์”ทำเรตติ้ง “ขุนทหาร”ต่ำตม จับตาปม“แก๊งพัชรวาท”ร่วมรื้อกฎหมาย ป.ป.ช. ทำ คสช.ถูกโดดเดี่ยว ปรับครม.รอบนี้ต้องกล้าเอาตัวปัญหา“ป.ป้อม - ป.ป๊อก”ไปเก็บหลังฉาก คะแนนนิยมก็อาจมีแววกระเตื้อง ถ้าไม่กล้า ก็เตรียมเซย์กู๊ดบาย อาจอยู่ไม่ถึงเลือกตั้ง
เอาล่ะเหวย อะไรที่ว่าแน่ๆ มันชักจะไม่แน่เสมอไปแล้ว .. หลังมีผลสำรวจจาก “ซูเปอร์โพล” ที่ครั้งหนึ่งเคยออกผลโพลว่า คนไทยหนุน “รัฐบาล คสช.” อยู่ไปแบบยาวๆ กลับมาออกผลโพลล่าสุดแบบ “คนละเรื่อง” .. ตอกย้ำความตกต่ำของ “รัฐบาล คสช.” โดยเฉพาะในหัวข้อฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อ “นายกฯลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลดลงจาก 78.4% เมื่อไม่กี่เดือนก่อนมาอยู่ที่ 52% เท่านั้น .. แล้วถ้าพูดตามตรง คงผลสำรวจที่ว่ามี “ติ่งลุงตู่” อยู่เกินครึ่งเฉียดฉิวนั้น ถือว่า “เกรงใจ” อยู่พอสมควร เมื่อเทียบกับเสียงบ่นพรึมของชาวบ้านร้านตลาด .. ขณะที่ผลโพลออกมาชัดแล้วว่า คนเริ่มทนไม่ไหวกับ “รัฐบาลทหาร” แล้ว แต่ “ป๋าป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ คสช.ก็ไม่สำรวจทิศทางลม จู่ๆมาหล่นวาจาไม่กั๊กว่า หากจำเป็นก็ต้องตั้ง “พรรคการเมือง” สำหรับลุยการเลือกตั้งหนหน้า .. จริงๆ ก็ไม่ได้ตกอกตกใจอะไร เพราะเขารู้กันทั่วบางแล้วว่า “บิ๊กทอปบูต” ทั้งหลายพร้อมจะเข้าสู่สนามการเมืองในครั้งต่อไปตามโรดแมปสืบทอดอำนาจ ที่วางไว้อย่างรัดกุมผ่านรัฐธรรมนูญ .. แถม “ท่านป้อม” ยังมีหน้ามาบอกว่า “วงษ์สุวรรณ - จันทร์โอชา" โดนป้ายสีซะอีก ทั้งที่ต้องแต่ “ทอปบูต” เรืองอำนาจมา เห็นจะมีก็แต่ “วงษ์สุวรรณชง - จันทร์โอชาเซ็นต์” จากทั้งอำนาจรัฐฏาธิปัตย์ หรืออภินิหารอย่างมาตรา 44 ต่างหาก .. จากเรตติ้งที่เคยพีคๆ ก็เลยต่ำตมอย่างที่เห็น อย่างไปเที่ยวว่าคนอื่นไปเลย .. แล้วก็ยังมาขยี้ความตกต่ำของตัวเองซ้ำซาก ล่าสุดปล่อยให้ "น้องป๊อด" พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชายสุดเลิฟของ "พี่ป้อม" ควงคู่หู พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิชย์ ที่มีคดีร่ำรวยผิดปกติอยู่ในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.ทั้งคู่ ไปนั่งเป็นกรรมาธิการร่างกฎหมาย ป.ป.ช.หน้าตาเฉย .. ระวังเถอะ ถ้า “คนดี” ที่ร่วมกรรมาธิการถอดใจไม่ทำงานร่วมกับ “แก๊งค์พัชรวาท” ก็เป็นสัญญานถูกโดดเดี่ยวชัดเจนจากทุกฝ่าย ถึงตอนนั้นก็ “ขาลง” แบบกู่ไม่กลับ .. บอกไปแล้วการตั้ง “พรรคทหาร” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คาดเดาไม่ได้ แต่ดูจากโพลแล้ว “รัฐบาลทหาร - พรรคทหาร” จะเวิร์คหรือไม่ คงอยู่ที่การปรับ ครม.ไฟต์บังคับในเร็วนี้ต่างหาก .. ถ้าปรับใหญ่ เอาพวก “ตำบลกระสุนตก” ทั้ง “ป๋าป้อม” หรือ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ขยันแต่สร้างเรื่อง ถอยไปหลังฉาก แล้วดึงคนที่กล้าปฏิรูปในเวลาที่เหลือมา เรตติ้ง คสช.ก็มีแววกระเตื้อง ส่งไปถึง “พรรค คสช.” ที่จะตั้งขึ้น ดีไม่ดีอาจพอมีคนเทใจให้เยอะกว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ด้วยซ้ำ .. แต่ถ้า “คีย์แมนเดิมๆ” ยังอยู่กันไปทั้งชาติ ไม่ว่าแจกเงินซื้อใจคนอีกกี่แสนล้านก็แป้ก .. นอกจากเอา “ตัวปัญหา” ไปเก็บแล้ว ก็ต้องไม่ลืมแก้ปัญหาเษรษฐกิจให้เห็นมรรคผล ให้คนกินดีอยู่ดี ไม่ใช่หลับหูหลับตาเอื้อแต่นายทุน .. ถือซะว่าหวังดี ชี้ทางสว่าง แก้ 2 ข้อให้ได้ หนึ่ง ตัวปัญหา สอง เศรษฐกิจ ได้แบบนี้อนาคต “พรรคสีเขียว” ก็มีลุ้น .. แต่ถ้ายังเป็นแนวเดิม ยึดพวกพ้อง ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง บางทีอาจไม่ต้องรอให้ถึงเลือกตั้ง ปัจจัยแทรกที่ทำให้ “ขุนทหาร” กระเด็นไปทั้งยวงก็มีนะท่านนะ .. โอกาสดีๆไม่ได้มีบ่อยๆ แถม “โอกาสสุดท้าย” ก็กำลังจะค่อยๆหมดไป .. เดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่เตือน.
**เก่งแต่ในมุ้ง!! อภินิหารกฎหมาย“มาตรา 44”บ้อท่าเวทีโลก หลัง“เหมืองอัครา”ชงเรื่องเข้า “อนุญาโตฯระหว่างประเทศ”แก้พิพาทโดน“รัฐบาลไทย”ระงับทำเหมืองทองฯ เสียเปรียบทุกประตู ทำใจเตรียมควัก“ค่าโง่”กันอีกแล้ว
หาเงินไม่เก่งแล้ว ยังจะหาเรื่องให้รัฐเสียเงินเสียทองอีก .. นี่ก็เสี่ยงจะเสีย“ค่าโง่”อีกแล้ว เมื่อ บริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ต ลิมิเต็ด ประเทศออสเตรเลีย ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท อัครา รีซอร์สเซส ผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ทองคำ จ.พิจิตร และเพชรบูรณ์ ยื่นให้ประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการ“อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ” เพื่อเรียกร้องให้มีการชดเชยค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ภายหลัง“รัฐบาลไทย”ใช้ “มาตรา 44”ระงับการสำรวจและทำเหมืองทอง .. ข่าวกระหึ่มทั่ววงการ 2 - 3 วันนี้มาว่า “ไทยแลนด์แพ้น็อกไปเรียบร้อย”ก็ไม่รู้ใครปล่อยออกมา แต่มีผลกระเทือนไปถึง ตลาดทุน-ตลาดหุ้น บวกปัจจัยลบด้านอื่น ทำหัวทิ่มทั้งกระดาน .. “เนติบริกร”วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เลยหัวร้อน ฟาดงวงฟาดงา ถามหา “ต้นตอ”ของข่าวกันวุ่น .. ก็จริงๆ เรื่องยังไม่ถึงไหน “คิงส์เกต”เพิ่งจะทำหนังสือแจ้งว่า ขอเข้ากระบวนการอนุญาโตตุลาการ ยังไม่มีการตัดสินคดีอะไรกันทั้งนั้น .. ส่วน “รัฐบาลไทย”เดินสองขา อีกขาหนึ่งเป็น “โต๊ะเจรจา”ที่มีปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหัวหน้าทีมต่อรองกัน ที่“คิงส์เกต”พยายามขอมาตลอดปีสองปีมานี้ เพื่อให้รัฐจ่ายเงินชดเชยเยียวยาค่าเสียหายให้ .. แรกๆ เห็นเรียกกันแพง “3หมื่นล้านบาท”เลยทีเดียว แต่ก็รู้กันว่า ตัวเลขที่ตีโป่งเอาไว้ เผื่อต่อ เรียกร้องเยอะๆไว้ก่อน เพราะรู้ว่า “รัฐไทย”เสียเปรียบทุกประตู คงทำได้แค่ต่อราคาลงมาให้ได้มากที่สุดเท่านั้น ..เท่าที่จับอาการ “เนติบริกร” ที่ถนัด“อภินิหารกฎหมาย”ยังทำท่า “ยอมจำนน”อารมณ์จ่ายน้อยที่สุด ก็แฮปปี้ .. ตอนนี้แค่ทำฟอร์มไปก่อนว่า ออฟเฟอร์จาก “คิงส์เกต”เป็นข้อเสนอที่รับไม่ได้ ถ้าลดราวาศอกลงมา อาจจะคุยด้วยได้ .. ตรงนี้แหละ “อ้าปากเห็นลิ้นไก่”ว่า แท้จริงแล้วเหมือนรัฐบาลไม่มั่นใจเรื่องการต่อสู้คดีใน “ศาลระหว่างประเทศ”เหมือนกัน .. เพราะ อย่าลืมว่า“มาตรา 44”มันใช้ได้ที่เดียวในประเทศไทย เมื่อไปถึงชั้นอนุญาโตตุลาการแล้ว มันเอาไปอ้างไม่ได้ ไปๆ มาๆ เชื่อหัวไอ้เรืองว่า คดีนี้รัฐจะ“เสียค่าโง่”เอาได้ .. ทางเดียวที่จะสู้ได้คือ รายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ที่ต้องชี้ให้ชัดว่า มีจริงๆ ถ้าหละหลวม .. อือหือ “มหกาพย์ค่าโง่”ไม่รู้ภาคที่เท่าไหร่ จะฉายซ้ำอีกแล้วล่ะท่านผู้ชม
**“ทีโอที”เหวอรับประทาน!! จู่ๆโดน “กสทช.”ยึด “คลื่น 2300”เอาไปใส่พานรอประมูล ทั้งที่ยกให้กันเสร็จสรรพแล้ว ทำรายได้ 3.6 หมื่นล้าน หายวับไปกับตา ลือสนั่นทุ่ง “โอเปอร์เรเตอร์บางเจ้า”ล็อบบี้หนักหวังแบ่งเค้กด้วย
นี่ก็อีก อะไรที่ควรได้ ไม่ได้ แต่ที่ไม่ควรเสีย กลับเสีย .. บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) รัฐวิสาหกิจใหญ่ที่มีหน้าที่หารายได้เข้ารัฐ ดันไปโดน“เจาะยาง” จากหน่วยงานรัฐด้วยกันแท้ๆ อย่าง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่ “ดอง”เรื่องกรณีที่ให้รับสิทธิ์ในการใช้ “คลื่น 2300 เมกะเฮิร์ตช”เอาไว้ตั้งแต่เมื่อปี 2558 นู่นเลย .. หลังจากที่ “ทีโอที”ได้รับสิทธิ์ในการใช้คลื่น 2300 มา 64 เมกะเฮิร์ตช แทนที่สัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ 900 เมกะเฮิร์ตช ที่ กสทช. เอาคืนแล้วนำไปประมูล .. ตอนนั้น อุตตม สาวนายน สมัยนั้นยังเป็น รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ได้หารือกับ กสทช. ให้ “ทีโอที”ไปใช้คลื่น 2300 แทน หวังให้เอามาปรับปรุงทำเป็น “Broadband Wireless Access”เพื่อหารายได้ พร้อมขับเคลื่อนนโยบาย“ไทยแลนด์ 4.0” .. วันนั้น กสทช. เองก็ตกปากรับคำเป็นสัญญาใจ ดิบดี แถมมีหนังสือแจ้งให้ “ทีโอที”รับทราบว่า นำไปใช้ได้เสียด้วย แต่ด้วยสถานสถานภาพทางการเงินของ “ทีโอที”ไม่ค่อยพร้อม ก็จำเป็นต้องหาพันธมิตรมาช่วย เลยเปิดคัดเลือกพันธมิตร เมื่อต้นปี 2560 ก่อนสรุปได้ “ดีแทค”มาเป็นคู่พันธมิตร ..
ต่อมามีการจัดทำร่างสัญญาพันธมิตร แยกเป็นสัญญาเช่าอุปกรณ์-สัญญาใช้บริการข้ามโครงข่าย .. ร่างเสร็จส่งไปให้ตรวจ ทั้ง อัยการสูงสุด(อสส.) - สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ช่วยดูว่า สอดคล้องกับข้อกำหนดร่วมทุนรัฐ-เอกชนใน พ.ร.บ.กสทช. หรือเปล่า .. สรุปผ่านฉลุยไม่ยาก เหมือนตอนโรมมิ่งคลื่น 2100 กับ “เอไอเอส”แต่หลายเดือนผ่าน เรื่องค้างอยู่ที่ กสทช. ซะอย่างนั้น .. ไม่ตอบไม่เท่าไร พอได้ “บิ๊กอ้อ”พล.อ.สุกิจ ขมะสุนทร ขึ้นมาทำหน้าที่ประธาน กสทช.คนใหม่ ประกาศนโยบายแรกๆ ว่า จะประมูลคลื่น 2300 รอบใหม่เสียอย่างงั้น .. อยู่เฉยไม่ได้ “ทีโอที”ทำหนังสือย้ำไปถึง กสทช. ติดตามความคืบหน้าทันควัน ทำนองว่า สรุปมันยังไงกันท่าน! ก็ได้แต่“สายลม”มาเป็นคำตอบ .. ก่อนที่เอกชนโดย“บิ๊กดีแทค”จะออกหน้าไปถาม “ท่านประธานอ้อ”ให้รู้ดำรู้แดง .. ปรากฏทุกอย่าง“พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้า”ว่า “ทีโอที”ไม่สามารถดำเนินการในรูปแบบพันธมิตรกับ “ดีแทค”ได้ .. งานนี้ถ้าโปรเจกต์พัง แว่วว่า“ทีโอที”จะพังไปด้วย เพราะหากไม่สามารถลงนามในสัญญาพันธมิตรกับ “ดีแทค”ได้ภายในสิ้นปีนี้ จะต้องสูญเสียรายได้ที่ควรได้รับจาก“ดีแทค”แค่ช่วงไตรมาสสุดท้าย 3 เดือนๆ ละ 500 ล้านบาท หลงจ๊งก็ “พันห้าร้อยล้าน” ..ซ้ำร้ายหากไม่สามารถลงนามสัญญาได้ภายในเดือน ม.ค. 61 แผนการที่จะปั้นรายได้ปีละ 4,510 ล้านบาท ยาว 8 ปี รวมแล้วไม่มากไม่มาย “3.6 หมื่นล้าน”ที่ทำกับ “ดีแทค”ไว้ก็หายวับไปทันที .. จนลือกันสนั่น “ทุ่งแจ้งวัฒนะ”ถึงเหตุที่“บิ๊กซอยสายลม”กล้าตระบัดสัตย์ ก็ด้วยมี“โอเปอร์เรเตอร์บางเจ้า”ที่พักหลังแทบจะคุม “อาณาจักรสายลม”เบ็ดเสร็จ ล็อบบี้ยึดเอาคลื่น 2300 ออกมาประมูล จะได้โดดไปจอยแบ่งเค้กด้วยหรือเปล่า !?
ช.ชฎา