“ประยุทธ์” เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน ที่ ร.ร.เก่า วัดนวลนรดิศ เป็นครั้งแรกที่กลับมาหลังเป็นนายกฯ รมว.ศธ.ยุคปู ฐานะศิษย์สำนักเดียวกันโผล่ร่วม ลั่นเข้ามาเสี่ยงพร้อมรับผิดชอบทุกอย่าง ไม่ใช่เพื่อพวกพ้อง ขอทำแผ่นดินให้สูงขึ้น ยกความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สำคัญที่สุด
วันนี้ (2 พ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่วัดนวลนรดิศวรวิหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน สำนักนายกรัฐมนตรี ประจำปี 2560 ที่วัดนวลนรดิศวรวิหาร โดยมี พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รอนายกฯ และคณะรัฐมนตรี ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ข้าราชการ ผู้ปฏิบัติงานในสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้บริหารครูและนักเรียนโรงเรียนวัดนวลนรดิศ พร้อมด้วยประชาชนทั่วไปเข้าร่วมพิธี โดยปีนี้มียอดเงินทำบุญ 5,175,338 บาท โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้ปลูกต้นรวงผึ้ง ต้นไม้ประจำรัชกาลที่ ๑๐ และต้นบุญนาค ต้นไม้ประจำวัดนวลนรดิศวรวิหารในบริเวณวัดด้วย
จากนั้นเวลา 15.00 น. นายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์อาคารเรียนรวมแบบพิเศษ และกล่าวเปิดมหกรรมวิชาการ Thailand 4.0 ที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์เคยศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รุ่นที่ 77 ทั้งนี้ ทางโรงเรียนได้ขึ้นป้ายขนาดใหญ่ต้อนรับ และเขียนถึงประวัติของเด็กชายประยุทธ์ จันทร์โอชา นักเรียนโรงเรียนวัดนรดิศ เลขประจำตัว น.ด.8969 และแสดงความยินดีที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 การเดินทางกลับมาที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีศิษย์เก่าร่วมงานจำนวนมาก เช่น นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฯลฯ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอนหนึ่งว่า ดีใจที่ได้มาทำคุณประโยชน์ให้บ้านเมือง ตามคำขวัญของโรงเรียนวัดนวลนรดิศ และภูมิใจที่ได้มาพบกับครูและศิษย์เก่าที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น โรงเรียนนี้ได้สร้างสรรค์คนดีจำนวนมากเช่นเดียวกับโรงเรียนอื่น สำหรับการเป็นประเทศไทย โรงเรียน และคนไทย 4.0 นั้น จำเป็นต้องใช้สติปัญญา ใช้สมอง วิจารณญาณในการประกอบอาชีพ โดยใช้เทคโนโลยีและดิจิตอลเข้ามาขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรมมากขึ้น และหากทุกคนร่วมมือกันได้ก็จะลดความเหลื่อมล้ำ และช่องว่างต่างๆ ลง สิ่งที่เราจะต้องไม่สับสนมีอยู่ 2 เรื่อง คือ ความเท่าเทียม และความเป็นธรรม โดยทุกคนจะต้องมีความเท่าเทียมในการเข้าถึงโอกาส ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่สร้างความเท่าเทียมตรงนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะได้รับทุกอย่างเท่าเทียมกัน จึงไม่อยากให้ใครมาบิดเบือนจนทำให้เชื่อ วันนี้รัฐบาลพยายามทำทุกอย่างที่จะขับเคลื่อนประเทศให้เป็น 4.0
“การเป็น 4.0 คือการคิดใหม่ ทำใหม่ หากติกาทางกฎหมาย เพื่อให้เกิดความสอดคล้อง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง หรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แต่ทำเพื่อส่วนรวม ซึ่งรัฐบาลนี้ทำเพื่อคนไทยทั้ง 70 ล้านคน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าใช้วิธีการให้อย่างเดียวก็จะละลายหายไป ขอร้องว่าอย่าไปเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นข้อเท็จจริง โดยเฉพาะเรื่องยางพารา หลายประเทศไม่มีปัญหาเช่นเรา เพราะไม่ได้ปลูกมากเหมือนของเรา ดังนั้น ราคาไม่มีทางจะสูงขึ้นมากไปกว่านี้ถ้าเราไม่ช่วยกัน วันนี้รัฐบาลพยายามเร่งรัดและปรับโครงสร้างในส่วนของโรงงานที่ใช้ยางในประเทศ เพื่อนำมาผลิตยางรถยนต์ ยางเครื่องบิน ถนน ทุกอย่างต้องเร่งทำ ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่ค่อยมีการทำเช่นนี้ ถ้าทำจริงผมคงไม่เหนื่อยเช่นนี้ ฟังแล้วจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ซึ่งสามารถย้อนกลับไปดูได้ ไม่อยากให้สิ่งที่ทำในวันนี้เกิดความเสียหาย ยืนยันว่า ผมไม่มีเจตนาอะไรเลยที่เข้ามายืนตรงนี้ ผมไม่อยากให้โรงเรียนวัดนวลนรดิศเสียชื่อเสียงด้วยซ้ำ ผมมาแบบนี้ถือว่าผมเสี่ยง ผมรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวของผมเองเพียงผู้เดียว ไม่มีใครอยากทำหรือมาอยู่อย่างผม ยืนยันว่าการเข้ามาอยู่ไม่ใช่เพื่อพวกพ้อง ผมอยู่เพื่อประเทศไทย เพื่อแผ่นดิน ที่ผมสละชีวิตมา รอดตายจนมาถึงทุกวันนี้ ทหารสู้รบและตายตามแนวชายแดนไม่รู้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อให้ทุกคนได้ใช้แผ่นดินนี้ วันนี้ผมมีหน้าที่ดูแลให้เกิดความแข็งแรง ให้แผ่นดินสูงขึ้น” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับปัญหาน้ำท่วมก็ต้องแก้ไขกันต่อไป แต่จะขอเลิกพูดว่าใครแก้ได้หรือแก้ไม่ได้ ไม่อยากทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อมีฝนตกมาก็ต้องระบายน้ำออกให้ได้ ถ้าระบายไม่ได้มันก็ท่วม ก็ต้องหาวิธีการแก้ไข ที่ผ่านมา แก้ได้ดีมากพอสมควร ไม่เช่นนั้นปัญหาคงมีมากกว่านี้ เราต้องคิดและวิเคราะห์ใหม่ให้เป็น ปัญหาน้ำท่วมท่วมมาตั้งแต่ลุ่มน้ำภาคเหนือ ทางลุ่มน้ำน่านและลุ่มน้ำยม จนถึงลุ่มน้ำเจ้าพระยาลุ่มน้ำท่าจีน รวมทั้งพื้นที่ภาคอีสานน้ำชีลุ่มน้ำมูล เรามีลำน้ำย่อยอีกเป็น 100 สาขา ถามว่ามีรัฐบาลไหนบ้างที่สามารถแก้ไขปัญหาไม่ให้น้ำท่วมเลยได้บ้าง
“วันนี้ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจยอมรับว่าเหนื่อยตั้งแต่เช้าพูดมากแต่ผมตั้งใจ ลูกนรดิศยึดมั่น และปฏิบัติตนตามค่านิยม 12 ประการ ซึ่งคนไทยทั้งหมดมีอยู่แล้ว วันนี้เราต้องเป็นคนไทยที่มีวัฒนธรรม มีความเป็นไทยมีอัตลักษณ์ ไปไหนต้องไม่ทิ้งขยะไม่ทิ้งไปเรื่อย ทั้งหน้าบ้าน ในบ้านและนอกบ้าน ไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหาย ไปชมอะไรโบราณสถานเก่าๆ จะไปเที่ยวเก็บหินใส่กระเป๋า ชนิดว่าขอให้ได้หยิบเป็นของขลังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดมันเกิดความเสียหาย คนข้างหลังก็ไม่ได้ดู ต้องขอฝากไว้ให้นึกถึงความเป็นไทย อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ เราไม่เคยต้องมาตีกัน สู้รบปรบมือแบ่งออกไม่รู้เป็นกี่ฝ่ายประเทศไทยไม่เคยมี และวันนี้ผมจะไม่ยอมให้มีขึ้นมาอีกโดยเด็ดขาด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราต้องเอาบ้านเมืองไปให้รอดนึกถึงลูกหลาน อย่ามัวแต่คิดถึงตัวเองเพราะเดี๋ยวก็ตายแล้ว ไม่มีใครไม่ตาย ตายแล้วก็เอาเงินไปไม่ได้มีเงินเยอะก็ไม่ได้ใช้ อย่าไปคิดว่ามีเยอะแล้วคนจะนับถือ ต้องใหญ่โตคนถึงจะมาเคารพนบนอบ ผมไม่ได้มองตัวเองว่าเหนือคนอื่น ไม่เคยมอง ผมนั่งรถมาดีเพราะเป็นรถหลวง แต่นั่งรถก็คิดตลอดเวลาว่าคนจนจะกินอะไร และคิดมาตั้งแต่เด็ก ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” นายกฯ กล่าว