ข่าวปนคน คนปนข่าว
** ฝากเตือน คสช. อย่าบ้าจี้ ปล้นประชาชนกลางแดด ระวังจะไม่เหลือแรงศรัทธา
3 ปีกว่าผ่านไปของ “รัฐบาล คสช.” นอกจากจะตีมึนไม่คืนความสุขให้เธอ...ประชาชน อย่างที่สัญญาไว้แล้ว ยังตั้งหน้าตั้งตายัดเยียด “ความทุกข์” ให้กับคนในชาติเสียอีก จนตอนนี้คะแนนนิยมของ “รัฐบาลขุนทหาร” ลดฮวบๆ แบบไม่ผงกหัว .. จากที่คนไทยตั้งฝากความหวังว่าให้มาหย่าศึกขัดแย้ง-ปฏิรูปบ้านเมือง เสร็จงานก็บ๊ายบายกลับบ้านไปเลี้ยงหลานกัน แต่ “พี่ คสช.” กลับมันมือ ลากโรดแมป วางยุทธศาสตร์ชาติ ผุดไอเดียคั้นออกมาเป็นนโยบายหยุบหยับ .. แต่สารพัดนโยบายที่ออกมากลับล้มเหลวสิ้นเชิง “วาระปฏิรูป” ก็ไม่ไปไหน ปากท้องประชาชนก็ไม่ดีขึ้น ทั้งยังเจอซ้ำเติมจากภัยพิบัติเอย ภาษีสังคมที่เพิ่มขึ้นเอย .. จากเดิมคนทำมาหากินต้องกระเบียดกระเสียนควัก “ค่าต๋ง” เจ้าเก่าอย่าง “สีกากี” อยู่แล้ว ก็ยังต้องเจียดมาจ่าย “หน่วยงานพิเศษ” เพิ่มขึ้นอีกต่างหาก .. ในขณะที่ “ฝ่ายบริหาร” ก็ยัง “มือเติบ” ถลุงการเงินการคลังของประเทศ จนเข้าสู่ภาวะ “ถังแตก” อย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อย .. ที่ว่า “มือเติบ” นั่นก็ไม่ได้กล่าวหากันลอยๆ ดูเอาเองเถิดว่า 3 ปีมานี้ มีการใช้งบประมาณแผ่นดินสุรุ่ยสุร่าย ใช้จ่ายเกินตัว ทั้งค่าตอบแทนเหล่า “ลิ่วล้อ คสช.” ที่ตั้งมากินเงินหลวงยั้วเยี้ยไปหมด ไม่เท่านั้นยังมีการหรือจัดซื้อจัดจ้างที่แพงเกินจริง ไม่ได้ทำให้เกิดมรรคผลรายได้เพิ่ให้กับประเทศแม้แต่น้อย ส่อไปในทางหา “คอมมิชชั่น” มากกว่าประโยชน์ต่อองค์รวม .. ประกอบกับ “ทุจริตเชิงนโยบาย” มรดกจาก “รัฐบาลเลือกตั้ง” ก็ยังถูกสานต่อในยุคนี้อย่างแนบเนียน .. สำคัญกว่านั้นทั้งการทุจริต ทั้งการผลาญงบประมาณประเทศที่มาจากภาษีประชาชนยังไม่หนำใจ “รัฐบาลเสือตะวันออก” ยังทำตัวเหมือน “คนเงินขาดมือ” พยายามทุกช่องทางในการ “ปล้นกลางแดด” ล้วงเงินในกระเป๋าประชาชนเป็นว่าเล่น .. ไม่ว่าจะเป็นภาษีน้ำ - ภาษีแดด - ขึ้นเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ซึ่งก็มาจากการนำ “เงินบำนาญ” ในกองทุนฯไปหมุน จนชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็เลยคิดผลักภาระมาให้มนุษย์เงินเดือนแทนซะงั้น กระทั่งการขึ้น VAT ภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็ห้ามเผลอเป็นอันขาด .. หรืออย่างล่าสุดที่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการเงินฝากที่ไม่มีการเคลื่อนไหวของสถาบันการเงิน พ.ศ. ... .. หรือมาตรการริบเงินฝากในบัญชีธนาคารที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเกินกว่า 10 ปีเข้าคลังนั่นแหละ .. ราวกับว่า รัฐบาลออกอาการหน้ามืด จนปัญญาในการหารายได้เพิ่ม วันๆคิดแต่จะหาทางเก็บ “ค่าต๋ง” จากประชาชนลูกเดียว .. ตรงนี้แหละที่ถูกมองว่าเลวร้ายหนักข้อกว่าสมัย “ทุนสามานย์ปล้นชาติ” ในยุค “รัฐบาลเลือกตั้ง” หรือยุคของ “ระบอบทักษิณ” เสียอีก .. ก็ด้วย “รัฐบาลเลือกตั้ง” ที่แม้จะโกงซึ่งหน้า แต่ก็ยังไม่กล้าล้วงเงินในกระเป๋าประชาชน ด้วยสุ่มเสี่ยงกระทบการฐานเสียง .. ผิดกับ”รัฐบาลทอปบูต” ที่พยายามชูโมเดล “ไทยแลนด์ 4.0” ด้วยมอตโตสวยหรูอย่าง “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามสิ้นเชิง อีกทั้งยังไม่นำพา “หลักเศรษฐกิจพอเพียง” ให้เห็นแม้แต่น้อย แล้วยังหาญกล้า “คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย” ไม่ต่างจาก “นักโกงเมือง” .. ปล่อยไว้แบบนี้ดูท่าจะไม่ดี เสียงเตือนเริ่มกระหึ่มมาหลายสายว่า ยิ่ง คสช.อยู่นาน ก็ยิ่งเสมือนหาเรื่อง “ฆ่าตัวตาย” ไม่หยุดหย่อน .. บีบคั้นกันมากๆ ระวังประชาชนจะลุกฮือ เกิดการกระแสต่อต้านอย่างรุนแรง ยิ่งยามลำบาก กินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ด้วยแล้ว กระแสยิ่งถูกจุดได้ง่าย เมื่อประชาชนอยู่ไม่ได้ มีหรือที่ คสช.จะอยู่ได้ ระวังจะถึง “จุดจบ” เร็วกว่าที่คิด .. เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน.
** ไอ้เสือถอย!! “บิ๊กป๊อก”สั่ง ปภ.ทบทวนสเปก-ราคากลาง “เครื่องจับซิ่ง”ใหม่ อย่าแค่เล่นละคร ถ้าแน่จริงต้องขอยกเลิกโครงการกับ ครม.ไปเลย แล้วตั้งเรื่องใหม่ให้โปร่งใส ค่อยเสนออีกที “อิศรา”แฉ ปภ.จัดซื้อ “เครื่องเป่าแอลกอฮอล์”ก็งุบงิบพิกล
สัปดาห์ก่อนยังเสียงแข็งประมาณว่า“มันถูกกว่าคนอื่น มันดีกว่าชาวบ้าน”..กับท่าทีของ “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ที่ดูจะไม่ยี่หระกับเสียงวิจารณ์โครงการจัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา 849 เครื่อง ด้วยงบประมาณ 573 กว่าล้านบาท ตกเครื่องละมากกว่า 6 แสนบาทไทย ที่ถูกทุกฝ่ายมองว่า“แพงเกินจริง” ..แถมมียักไหล่ถามกลับด้วยว่า “ซื้อแพงกว่าตรงไหน ??” ทั้งที่มีหลักฐานทนโท่ว่า แพงกว่าความเป็นจริงเกือบ 10 เท่า .. ถัดมาสัปดาห์นี้ “บิ๊กป๊อก”กลับเสียงอ่อยลงอย่างเห็นได้ชัด ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ และได้สั่งให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เจ้าภาพงานนี้ ไปทบทวนการกำหนด “สเปกเครื่อง-ทีโออาร์-ราคากลาง”ใหม่ ..
จะว่าไปก็ถือว่า ถอยไม่เต็มเท้า ยังกั๊กคาโครงการไว้ ที่หากเผลอไผลไปก็คงมี “ลักไก่ - ลักหลับ”จู่ๆ เคาะโป้งจัดซื้อ “เครื่องตรวจจับซิ่งฝังเพชร”ขึ้นมา เราๆท่านๆ ก็คงได้แต่แบะๆ ก็“ครม.ลุงตู่”อนุมัติงบประมาณไว้ให้แล้ว .. ถ้าหากจริงใจ รับฟังเสียงวิพากษ์กันจริงๆ “ท่าน มท.1”ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. เพื่อขอยกเลิกโครงการไปก่อน เพื่อทบทวนใหม่ให้เป็นที่ยอมรับมากกว่า ด้วยเป็นโครงการที่ไม่ได้เร่งด่วนหรือคอขาดบาดตายอะไร .. ก็คำคุยเขื่องของ“เดอะป๊อก”ที่ว่า “โปร่งใส - ตรวจสอบได้” มันแค่เรื่องมโน .. ดูอย่างล่าสุดที่ “สำนักข่าวอิศรา”เข้าไปตามติดโครงการจัดซื้อในในเว็บไซต์ของ ปภ. ก็พบว่า การจัดซื้อเครื่องตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ จำนวน 2,930 เครื่อง วงเงิน 199 ล้านบาทเศษ ซึ่งเดิมเป็นโครงการเดียวกับ “เครื่องจับซิ่ง”นี่แหละ แต่“เครื่องเป่า”ได้รับการอนุมัติไปก่อนตั้งแต่ปลายปี 2559 .. ปรากฏว่ามี บริษัทเอกชน ยื่นเสนอราคาแข่งขันงาน“เครื่องเป่า”แค่ 2 ราย แต่ที่น่าแปลกคือ ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ว่า ทั้ง 2 ราย เสนอราคาเท่าไร .. แถมมีลับลมคมใน ต้องกรอกรหัสผ่านก่อนถึงจะเข้าไปดูได้ แต่เมื่อกรอกไปแล้วกลับระบุว่า “E4621:หมดเวลาการค้นหาข้อมูล สรุปข้อมูลการเสนอราคาเบื้องต้น กรุณาค้นหาใหม่อีกครั้ง” .. ตรงนี้ทาง “อิศรา”ระบุว่า แตกต่างจากการประกวดราคาโครงการอื่น ที่มักมีการเปิดเผยราคาแข่งขันงานของเอกชน ที่เข้าร่วมการประกวดราคาทุกราย .. จนน่าสงสัยว่า มีความพยายามปกปิดข้อมูลทางราชการ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ เปิดช่องให้มี“ทุจริตคอร์รัปชัน”กันหรือไม่ .. และก็เชื่อว่าการจัดซื้อ “เครื่องจับซิ่ง”ก็คงมีการตั้งชั้นความลับไว้ไม่ต่างกัน.
** ให้ท้ายกันเข้าไป!! “นายกฯ-มท.1”โดดป้อง “ผู้ว่าฯชลบุรี”คลำหัวคลำหางว่าเป็น “ข้าราชการ”ก็อุ้มกัน ไม่สนผิดถูก ทั้งที่จัดงานห่วยแตก จนภาพงานไม่สมพระเกียรติ แถมเจอแฉซ้ำถลุงงบ 20 ล้านได้มาแค่“ดาวเรืองไวนิล”
ในขณะที่ภาพความทรงจำพระราชพิธี เมื่อ 26 ต.ค. จะสถิตอยู่ในดวงใจของคนไทยชั่วนิรันดร์ .. แต่กลับการเป็น “ฝันร้าย”ของคนชลบุรี ที่หวังใจว่าจะมีโอกาสส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย และต่างมุ่งหน้าไปเพื่อหวังร่วมถวายดอกไม้จันทน์ ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ ณ พระเมรุมาศจำลอง ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี .. ที่ปรากฏว่ามีการจัดการที่ “ห่วยแตก” ปล่อยให้“ข้าราชการศักดินา”ลัดคิวเข้าถวายดอกไม้จันทน์ ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องมารอต่อคิววนเป็นเขาวงกต นานกว่า 10 ชั่วโมง แถวยาวออกไปเกือบตกทะเล จนหลายคนทนไม่ไหวอดเข้าร่วมพิธีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ .. ผู้รับผิดชอบก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก“ผู้ว่าฯหนุ่ย” ภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าฯชลบุรี แม่งาน แม้ว่าจะมีการออกมาชี้แจง พร้อมขอโทษไปแล้ว แต่กระแสความไม่พอใจของ“คนเมืองชล”ก็ยังมีอยู่ และยกระดับไปถึงขั้นชุมนุมเรียกร้องให้ผู้ว่าฯลาออก .. โดยที่ “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ลูกพี่ของ“ผู้ว่าฯหนุ่ย”ก็ดูจะพยายามตัดจบเรื่อง ขอว่าอย่าให้เป็นกระแสต่อไป เรียกว่าหลับหูหลับตากระเตงให้ผ่านๆไป โดยที่ไม่พิจารณาว่าถูก-ผิด ตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ อย่างไร .. แม้แต่“นายกฯตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็พูดในทำนองว่า เรื่องจบไปแล้ว ให้หยวนๆ กันไป .. ดูท่า “บิ๊ก คสช.”ที่โตมาในสายข้าราชการเช่นกัน พอคลำหัวคลำหาง เห็นว่าเป็น“ข้าราชการ”ก็อุ้มกันไว้ก่อน ไม่สนผิดถูก .. อีกทั้งไม่เพียงแต่การจัดระบบที่ห่วยแตกแล้ว ยิ่งคุ้ยก็ยิ่งเน่าหลายเรื่อง เมื่อพบว่าบริเวณงานที่ศาลากลางเมืองชลฯ ถูกตกแต่งด้วย“ดาวเรืองไวนิล”ที่ดูเหมือนถูกสั่งพิมพ์มาแปะไว้แบบลวกๆ ต่างจากที่อื่น หรือชาวบ้านทั่วไปยังเสาะหาต้นดาวเรืองมาปลูกให้เบ่งบานตามเวลา .. จนมีคำถามว่า งบประมาณที่ได้มาถึง 20 ล้านบาท ในการจัดทำพระเมรุมาศจำลอง รวมทั้งเวลาเตรียมงานเป็นปีๆ เหตุใดถึงแตกต่างจากที่อื่นราวฟ้ากับเหว สำทับข้อหาร้ายแรงที่ว่า เมืองชลฯ จัดงาน“ไม่สมพระเกียรติ” .. แล้วก็ยังมีประเด็น“บัตรวีไอพี”โผล่ขึ้นมาตอกย้ำว่า อาจเป็นปมทำให้ “คนไม่มีชนชั้น”อดร่วมพิธีประวัติศาสตร์ ต้องหลีกทางให้แต่พวก“ศักดินาบาตรใหญ่” กระมัง.
ช.ชฎา